วันนี้เราได้รับคำเชิญจาก PR ของ "จางวางอิ่ม" ให้เข้ามารีวิวที่ร้านอีกครั้งนึงเนื่องจากผมเคยแวะมากินข้าวกับครอบครัวเมื่อสองปีก่อนพร้อมถ่ายรูปและเขียนบทความตามช่องทางต่างๆซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี ในปัจจุบันได้รับรางวัลการันตีความอร่อยระดับโลกจาก "มิชลินไกด์" ประเภท "บิบกูร์มองด์" ถึง 2 ปีซ้อน (2021 กับ 2022) โดยมีจุดเด่นพิเศษอยู่ที่เสิร์ฟเฉพาะเมนูอาหารไทยโบราณแท้บนเรือนไม้เก่าสไตล์วินเทจ แต่ยังคงบรรยากาศอันสวยงามโรแมนติกเพราะตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมนั่งชมวิว-รับลมเย็นสุดชิล ส่วนฝั่งตรงข้ามคือสามแยกเกาะเกร็ดซึ่งสามารถมองเห็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อย่าง"เจดีย์เอียงสีขาว"หรือ"พระเจดีย์มุ" กับ "สะพานพระราม 4" ได้อย่างชัดเจนจากท่าเรือหน้าบ้าน สำหรับวิธีการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้ปักหมุดมาตามแผนที่บนมือถือมีลานจอดขนาดใหญ่ให้บริการฟรี ถ้าเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะให้นั่งรถเมล์หรือรถตู้โดยสารคันไหนก็ได้ที่ระบุว่ามาปากเกร็ดลงหน้าห้างเมเจอร์ตรงห้าแยกจากนั้นเรียกแท็กซี่เข้าไปจุดหมายอีกประมาณ 5 กิโลเมตรก็จะถึงปลายทางแล้ว สำหรับประตูทางเข้าต้องเดินผ่านป้ายชื่อร้านบนกำแพงครัวขนาดใหญ่มาพื้นสีฟ้าอ่อนเขียนด้วยตัวอักษรสีทองพร้อมข้ามสะพานไม้เก่าจากนั้นให้เลี้ยวขวาจะพบกับเรือนไทยโบราณริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นจุดรับรองลูกค้าครับ
บรรยากาศชั้นหนึ่งยังคงตกแต่งเหมือนเดิมแบบเดียวกับเมื่อสองปีก่อนก็คือเน้นความเป็นวินเทจย้อนยุคตามชื่อร้าน เริ่มต้นจากคำว่า "จางวาง" หมายถึง ตำแหน่งข้าราชการชั้นสูงกรมมหาดเล็กตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ทำหน้าที่กำกับดูแลภายในกรมพระบรมมหาราชวังและวังเจ้านาย คอยบังคับบัญชาดูแลเหล่ามหาดเล็กกับเรื่องส่วนพระองค์ ต่างๆซึ่งปัจจุบันได้ถูกยกเลิกไปนานกว่า 70 ปีแล้วค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา สะท้อนถึงความเป็นเรือนไม้ไทยโบราณอันใหญ่โตกว้างขวางคล้ายๆวังขนาดเล็กแม้จะดูเก่าแก่แต่ยังดูมีมนต์ขลังชวนให้ย้อนรำลึกถึงอดีตอันน่าเกรงขาม ส่วนคำว่า "อิ่ม" นั้นหมายถึง การกินอยู่อย่างไทยด้วยสำรับข้าวปลาอาหารอันอุดมสมบูรณ์รสชาติดั้งเดิมตำรับบ้านๆที่ถูกตกทอดสืบต่อกันมาเป็นรุ่นจากเสน่ห์ปลายจวักของคนยุคก่อนอันชวนให้โหยหาและระลึกถึงทุกครั้งถ้าได้ลิ้มรส บวกกับจุดตั้งร้านอยู่ใจกลางสามแยกเกาะเกร็ดซึ่งสามารถมองเห็นเจดีย์เอียงมุเตาสีขาวได้จากด้านหน้าเรือน จึงออกมาเป็นชื่อร้านเต็มๆว่า "จางวางอิ่ม เดอะไวท์พาโกด้า" ให้ความรู้สึกเหมือนได้มานั่งกินข้าวในบ้านญาติผู้ใหญ่แถบชานเมืองมีกลิ่นอายของความเป็นไทยยุค 70-80'S อย่างเต็มเปี่ยมในทุกมุม แค่เฉพาะชั้นล่างก็สามารถรองรับลูกค้าได้ตั้งแต่ 2 ไปจนถึงกลุ่มใหญ่ๆรวมกันมากกว่า 10 ท่าน เดี๋ยวเราเดินขึ้นไปสำรวจข้างบนชั้น 2 กันต่อเลยครับ
เดินขึ้นบันไดมาด้านบนชั้นสองของเรือนไม้มีการตกแต่งโดยรวมไม่แตกต่างจากข้างล่างมากนักแต่พื้นที่ห้องโถงตรงกลางกลายเป็นมุมโซฟาสำหรับนั่งเล่นถ่ายรูปพร้อมจิบเครื่องดื่มสุดเย็นสั่งได้จากบาร์ ล้อมรอบด้วยห้องส่วนตัวหลากหลายขนาดเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกันตั้งแต่กลุ่มเล็กนั่งได้ประมาณ 8-10 คน ไปจนถึงกลุ่มใหญ่พิเศษสำหรับจัดงานเลี้ยงรุ่นหรือทั้งบริษัทประมาณ 30-50 คน ก็สามารถบริการได้เช่นเดียวกัน มีข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยคือทั้งร้านไม่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศแต่ไม่ได้ร้อนอบอ้าวจนถึงแทบทนไม่ไหว เนื่องจากเป็นบ้านไม้เก่าสมัยก่อนมีการออกแบบมาให้หลังคาเพดานทรงสูงและมีหน้าต่างเยอะแทบจะทุกจุดจึงช่วยพัดระบายลมให้ไหลผ่านเย็นสดชื่นพร้อมพัดลมตั้งโต๊ะขนาดใหญ่เปิดให้บริการตามมุมต่างๆก็ถือว่าสดชื่นเพียงพอแล้วครับผม
ถ้าอยากได้ประสบการณ์อันแสนวิเศษสุดโรแมนติกเราขอแนะนำว่าให้โทรมาจองโต๊ะล่วงหน้าก่อนแล้วเลือกช่วงเย็นหรือพลบค่ำตอนพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน หากต้องการความเป็นส่วนตัวก็ระบุที่นั่งตรงระเบียงใต้ชายคาชั้นสองซึ่งมีเพียงแค่โต๊ะเดียวภายในร้าน หรือประสงค์จะใกล้ชิดริมแม่น้ำเจ้าพระยาพร้อมชมวิวเจดีย์เอียงฝั่งเกาะเกร็ดแบบชัดเจนสุดๆให้เลือกตรงลานกว้างชั้นหนึ่งรับลมพัดเย็นชื่นใจ นอกจากนี้ตรงศาลาใกล้ๆท่าน้ำหน้าของเรือนไทยแห่งนี้ยังดัดแปลงเป็นโต๊ะพิเศษรองด้วยเสื่อลายกราฟิกพร้อมเบาะกลมรองก้นและชิงช้าจิ๋วให้นั่งชิลๆใกล้ชิดกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ แถมมองกลับไปยังได้ชมวิวของบ้านยุคก่อนซึ่งทำใหม่กลายเป็นร้าน "จางวางอิ่ม" อันสวยงามน่าเกรงขามดูมีมนต์ขลังและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเมื่อเทียบกับสิ่งปลูกสร้างต่างๆของชุมชนในแถบนี้ทั้งหมด โดยรวมก็ถือว่าเป็นร้านอาหารไทยโบราณที่เลือกบรรยากาศและการตกแต่งให้เป็นทิศทางเดียวกับความหมายของชื่อได้ดีครับ
ก่อนจะยกนำอาหารที่ทางร้านเตรียมไว้มาเสิร์ฟเราก็ขอพนักงานให้นำเมนูเล่มใหม่ออกมาเพื่อดูว่ามีอะไรเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงจากเมื่อสองปีก่อนบ้าง ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนเป็นปกแข็งสีขาวสะอาดตาในหน้าแรกสุดเป็นความหมายของชื่อร้าน "จางวางอิ่ม" ที่เราได้อธิบายแบบย่อเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ เริ่มต้นด้วยหมวด Signature มาแล้วต้องสั่งเลยคือ "กุ้งแม่น้ำเผา" ขนาด 4 ตัว 1 โล ราคาตัวละ 400 บาท (กิโลละ 1,600 บาท) / ขนาด 3 ตัว 1 โล ราคาตัวละ 567 บาท (กิโลละ 1,700 บาท) / ขนาดตัวละ 4 ขีดราคา 850 บาทไปจนถึงตัวขนาด 6 ขีด ราคา 1,200 บาท เลือกเองตามงบที่เราพอใจ หน้าต่อไปเป็นหมวด "กินปู" เมนูปูไข่ดองสูตรต่างๆทั้งซอสงาดำเกาหลี-ลิ้นเต้นแบบไทยกับแกงส้มยอดมะพร้าวอ่อนใส่ปูไข่ตัวใหญ่ๆราคา 680-850 บาท หมวด "กินกุ้ง" รวมเมนูกุ้งต่างๆทั้งกุ้งกระเบื้องหลังคาโบสถ์/ทอดมันกุ้ง/กุ้งแช่น้ำปลาสูตรปกติกับวาซาบิ/พล่ากุ้งพริกสด/กุ้งอบวุ้นเส้น/ลูกชิ้นกุ้งราดซอสมันปูกงลี่และต้มยำกุ้งน้ำใส-น้ำข้น ราคาเริ่มต้นที่ 200-390 บาท ขึ้นอยู่กับความพรีเมี่ยมของขนาดวัตถุดิบที่เราเลือกครับ
หมวดต่อมาเป็น "กินเล่น" หรืออาหารเรียกน้ำย่อยต่างๆทั้งแก้มปลาทูทอด/คางกุ้งทอด/ไก่คั่วเกลือ/หอยแครงแซ่บ/กากหมูคั่วสมุนไพร/เนื้อย่างใบชะพลู/ไก่ทอดสมุนไพร/หมูสามชั้นคั่วพริกเกลือ/ชุดของว่างจางวางและไข่เจียวโหระพากากหมู ราคาเริ่มต้นที่ 150-220 บาท ต่อไปคือหมวด "กินยำ" รวมสารพัดยำไทยต่างๆทั้งยำมะเขือยาวไข่ต้ม/ยำรวมทะเลมะเขือเผา/ยำเนื้อย่างมะเขือเปาะ/ยำหมูย่างมะเขือเปาะ/ยำวุ้นเส้นทะเลรวม/ยำวุ้นเส้นกุ้งสด/ยำไข่ไล่ทุ่งหรือไข่เป็ดนา/ยำหอยแครงและพล่ากุ้งโบราณ ราคาเริ่มต้นที่ 160-320 บาท ต่อกันด้วยหมวด "กินผัด" รวมเมนูผัดต่างๆเอาไว้มากมายทั้งกะหล่ำปลีฉ่ำน้ำปลาใส่กากหมู/ผัดแม่สายบัวรอเก้อ/ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์/หมึกผัดไข่เค็ม/ห่อหมกทะเลผัดแห้ง/ผัดเผ็ดใบยี่หร่าหมูกับเนื้อและผัดฉ่าปลาคัง ราคาเริ่มต้นที่ 150-320 บาท สำหรับหมวดถัดไปคือ "กินแกง" รวมสารพัดแกงต้มต่างๆทั้งแกงรัญจวนหมู-เนื้อ/ต้มยำกุ้งน้ำใส-ข้น/ต้มยำปลาทูกะเพราหอม/ต้มยำปลาคังน้ำใส-ข้น/แกงจืดบ๊วยหมูสับโหระพา/แกงจืดเต้าหู้หมูสับ/แกงจืดเกี้ยมฉ่ายใส่เนื้อหมูสับ/แกงคั่วใบรากุ้งและหม้อไฟพลนิกรกิมหงวน ราคาเริ่มต้นที่ 200-390 บาท ถ้าชื่นชอบสำรับไทยโบราณแท้ๆก็อย่าลืมหมวด "กินน้ำพริก" เสิร์ฟพร้อมชุดผักสดขนาดใหญ่พิเศษทั้งน้ำพริกเนื้อปลาทูยี/ปูหลนกะทิ/น้ำพริกโจร/หลนปลาเค็มและน้ำพริกคู่ตุนาหงันหรือน้ำพริกปลาฉิงฉ้างตำสดกินคู่กับสะตอทอดตำรับปักษ์ใต้ ราคาเริ่มต้นที่ 250-280 บาทครับ
หมวดสุดท้ายก็คือ "กินข้าว" ประกอบไปด้วยข้าวผัดต่างๆทั้งข้าวผัดกากหมู/ข้าวผัดมันกุ้งและข้าวหอมมะลิใส่ ถ้วยราคาเริ่มต้นที่ 20-250 บาท นอกจากนั้นก็เป็นเมนูอาหารอีสานจากแบรนด์ "ยำม่วน" ซึ่งมีครัวกลางอยู่ภายในร้านนี้ให้สั่งมาทานบนโต๊ะได้ทั้ง ลาบปลาช่อนทั้งตัว/ลาบปลากะพงเสิร์ฟทั้งตัว/ลาบหมู/ปลากะพงทอดน้ำปลา/ลาบไก่/ต้มยำไก่น้ำใสโรยพริกขี้หนูสวน/ต้มแซ่บกระดูกหมู/ต้มโคล้งปลาช่อนทอด/คอหมูย่างจิ้มแจ่วและกากหมูคั่วพริกเกลือ ราคาจานละ 115-390 บาท ส่วนหน้าสุดท้ายคือรายการอาหารใหม่ล่าสุดสำหรับคนที่ไม่ชื่นชอบความซ้ำซากจำเจโดยทางร้านได้คิดค้นขึ้นมาเรื่อยๆทั้ง ปลากะพงนึ่งมะนาว/แกงส้มแป๊ะซะปลาช่อน/แกงส้มชะอมกุ้งสด/หมูสามชั้นทอดน้ำปลา/หมูและเนื้อแดดเดียว ราคาเริ่มต้นที่ 200-450 บาท ส่วนเครื่องดื่มกับขนมหวานต่างๆทางร้านแยกออกมาเป็นเล่มเมนูใหม่ซึ่งเราไม่ได้ถ่ายรูปมาแต่สามารถดูรายการจากรีวิวครั้งก่อนได้ที่ https://bit.ly/3yvOR1I โดยส่วนใหญ่ไม่ได้ปรับราคาขึ้นลดจานขายไม่ดีออกไปแล้วยังคงไม่รวม Service Charge 10% เหมือนเดิมครับผม
เมนูอันดับแรกถูกยกออกมาวางบนโต๊ะจากภายในครัวก่อนคือ "กุ้งแม่น้ำเผา" (ขนาด 3 ตัวโล) เสิร์ฟทั้งหมด 3 ตัวใหญ่ๆขนาดนี้ราคาเพียง 1,700 บาท เป็นกุ้งแม่น้ำส่งตรงจากชาวประมงพื้นบ้านรายวันไซส์เฉลี่ยประมาณ 300 กว่ากรัมนำมาผ่ากลางหลังแล้วแผ่ให้รูปทรงสวยงามคล้ายผีเสื้อ วางลงบนเตาถ่านไม้ร้อนจัดย่างให้เปลือกนอกไหม้เกรียมเล็กน้อยส่วนเนื้อข้างในสุกฉ่ำฟูนุ่มขาวเนียนละเอียดจนเห็นลายกล้ามเนื้อเรียงกันเป็นมัดๆอย่างเด่นชัด พร้อมมันบนหัวกุ้งอัดแน่นไหลเยิ้มสีเหลืองปนส้มราวกับเนยก้อนกลิ่นกุ้งแม่น้ำเข้มข้น เสิร์ฟคู่น้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรพริกขี้หนูสดสีเขียวหอมน้ำมะนาวคั้นใหม่ๆรสเปรี้ยวนำเผ็ดอมหวานกลมกล่อมสุดจี๊ดจ๊าดเพียงราดลงบนเนื้อและหัวกุ้งแล้วใช้ช้อนหรือส้อมเอาเข้าปากได้ทันที ส่วนตัวเราขอแนะนำวิธีการเพิ่มความอร่อยให้พิเศษมากยิ่งขึ้นด้วยการสั่ง "ข้าวผัดกากหมู" ซึ่งช่วยเพิ่มความกรุบกรอบหอมมันทำให้กุ้งแม่น้ำเนื้อเด้งสู้ฟันธรรมดาๆมีสัมผัสอันแตกต่างมากยิ่งขึ้น ถ้าเทียบกับของจังหวัดอยุธยาส่วนตัวกล้าพูดได้เลยว่าคุณภาพไม่ต่างมากนักแถมราคาก็ไม่ห่างกันเยอะแวะมาร้าน "จางวางอิ่ม" ที่เดียวก็ได้ครบทุกประสบการณ์ด้านความอร่อยโดยไม่ต้องขับรถไปไกลถึงต่างจังหวัดเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ
จานต่อไปเป็นเมนู Signature อีกอย่างของทางร้านนั่นก็คือ "ปูไข่ดองซอสดำ" ราคา 850 บาท ใช้ปูทะเลเพศเมียไซส์ใหญ่ไข่อัดแน่นแทรกเต็มเนื้อและกระดองเกรดคัดพิเศษสดใหม่แช่ลงในน้ำซอสซีอิ๊วสูตรโฮมเมดทำจากซัมจังนำเข้าจากประเทศเกาหลีใต้ปรุงให้รสชาติเค็มนำอมหวานหอมกลิ่นน้ำมันงาสุดกลมกล่อม ตกแต่งให้สวยงามก่อนจะเสิร์ฟด้วยเมล็ดงาขาวคั่วกับพริกขี้หนูสดสีสันสดใสพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรเข้มข้นใช้พริกสดผสมกระเทียมสับละเอียดรสเปรี้ยวหอมน้ำมะนาวคั้นสดปรุงรสให้หวานนำซึ่งเข้ากับปูไข่ดองซอสดำได้เป็นอย่างดี ส่วนวิธีการทานแค่จับขึ้นมาดูดเนื้อปูแล้วใช้ช้อนตักไข่สีส้มเข้าปากทันทีหรือเทลงบนข้าวสวยพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดผสมนำดองคลุกให้เข้ากันเล็กน้อยก็อร่อยสุดๆ รายการต่อไปคือน้ำพริกสูตรปักษ์ใต้อย่าง "น้ำพริกโจร" ราคา 250 บาท เป็นน้ำพริกกะปิโดยขยำด้วยมือแทนการตำในครกปกติ วัตถุดิบทุกอย่างทั้งหอมแดง/กระเทียมและพริกสดซอยบางๆแล้วละลายกะปิในน้ำต้มกุ้งปรุงรสด้วยน้ำตาลปีบ/น้ำมะนาวให้เปรี้ยวเค็มอมหวานแล้วใส่เนื้อกุ้งสับชิ้นเล็กๆตามลงไป จุดเด่นของเมนูนี้นั่นก็คือการได้เคี้ยวเครื่องสมุนไพรต่างๆพร้อมผักสดแบบเม็ดโดดสะใจทุกคำซึ่งทางร้านปรุงมาได้จี๊ดจ๊าดโดนใจมากครับผม
เมนูแนะนำอีกอย่างนั่นก็คือ "เมี่ยงปลากะพงทอด" ราคา 450 บาท ใช้ปลากะพงไซส์ใหญ่ยกทั้งตัวนำไปแล่เนื้อแยกหัวก้างทอดจนกรอบตั้งแต่หัวจรดหางพร้อมจัดเรียงใหม่ลงจานเปลยาวพิเศษให้ยังคงรูปร่างทรงเดิม เสิร์ฟคู่กับเครื่องเมี่ยงหลากหลายชนิดตามฉบับสำรับไทยโบราณทั้งใบชะพลู/พริกขี้หนู/ขิง/หอมแดง/มะนาวติดเปลือกและถั่วลิสงคั่ว ส่วนน้ำจิ้มใส่เหยือกจิ๋วสีขาวสัมผัสเข้มข้น-เหนียวหนืดรสชาติหวานนำเค็มหอมกลิ่นมะพร้าวคั่วผสมกะปิกับเครื่องสมุนไพรต่างๆอัดแน่น วิธีการทานเพียงพับใบชะพลูให้เป็นทรงกรวยใส่เครื่องต่างๆแล้วราดน้ำซอสสูตรเด็ดลงไปก็นำเข้าปากได้เลยทันที หม้อต่อไปเป็นเมนูไทยแท้น้ำซุปใสรสชาติเผ็ดร้อนซึ่งกำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันก็คือ "แกงรัญจวนหมู" ราคา 200 บาท ตามประวัติคือของเหลือในครัวชาววังที่ถูกนำมาปรุงใหม่อีกครั้ง แต่สูตรของทางร้าน "จางวางอิ่ม" นี้เริ่มต้นตั้งแต่การตำน้ำพริกกะปิเองผสมในซุปใสพร้อมตุ๋นหมูส่วนสันคอหั่นหนาเคี้ยวสู้ฟันกำลังดีจนนุ่มแล้วปิดเตาใส่ใบโหระพาสดลงไปคนพอสลดก่อนเสิร์ฟ รสชาติเปรี้ยวเค็มหอมกะปิเหมือนแกงน้ำพริกละลายน้ำสุดเผ็ดร้อนซดเปล่าๆก็คล่องคอหรือจะทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆก็เข้ากันได้ดีไม่แพ้เมนูนึ่งมะนาว,ต้มยำเลยครับผม
ชามต่อไปเป็นแกงสุดเข้มข้นชวนเปลืองข้าวสวยสุดๆนั่นก็คือ "แกงคั่วใบรากุ้ง" ราคา 200 บาท ใช้พริกแกงคั่วสูตรตำเองนำมาผัดกับหัวกะทิจนละลายแต่ไม่แตกมันเยิ้มใส่กุ้งสดไซส์ใหญ่คัดพิเศษเนื้อเด้งสู้ฟันและใบยี่หร่าสดลงไปจำนวนมากปรุงรสชาติให้เค็มนำตัดด้วยหวานพอกลมกล่อมลงตัว สำหรับความเผ็ดชวนแสบลิ้นถือว่าอยู่ในระดับกลางแต่เมื่อบวกกับความร้อนแรงจากกลิ่นของยี่หร่าเข้าไปทำให้รู้สึกจัดจ้านถึงใจมากยิ่งขึ้นแบบซึ่งหาไม่ได้จากแกงไทยทั่วไป พักลิ้นให้สงบด้วยเมนูจานผัดง่ายๆแต่เป็น Signature อีกอย่างของทางร้านก็คือ "ผัดแม่สายบัวรอเก้อ" ราคา 200 บาท ทำจากสายบัวคัดเฉพาะยอดอ่อนเคี้ยวกรุบกรอบผัดในน้ำมันเพิ่มมันกุ้งแม่น้ำคั่วและเนื้อกุ้งสดที่ให้สัมผัสเด้งดึ๋งสู้ฟัน ปรุงรสชาติให้เค็มอมหวานกลมกล่อมฉ่ำไปด้วยน้ำซอสเต็มคำสำหรับทานคู่กับข้าวสวยหรือเคียงเมนูที่มีความเผ็ดร้อนช่วยปรับสมดุลให้อาหารมื้อนี้อร่อยลงตัวและไม่มีกรดในกระเพาะอาหารมากจนเกินไปครับผม
จานสุดท้ายเป็นเมนูที่ช่วยประสานอาหารทุกอย่างให้อร่อยร่วมกันได้อย่างลงตัวคือ "ข้าวผัดกากหมู" เสิร์ฟจานใหญ่ขนาดนี้ราคาเพียง 180 บาท โดยรวมยังคงมาตรฐานสูงเอาไว้เช่นเคยก็คือเลือกใช้เฉพาะข้าวสายพันธุ์หอมมะลิแท้หุงใหม่เรียงเมล็ดเหนียวนุ่มสู้ฟัน ผัดใส่น้ำมันหมูผสมกับกากหมูเจียวที่มีสัมผัสฟู/กรุบกรอบปรุงรสชาติให้เค็มนัวพอกลมกล่อมไม่หนักไปทางด้านใดข้างหนึ่ง เหมาะสำหรับทานคู่กับอาหารจานต่างๆภายในร้านซึ่งให้ความรู้สึกพิเศษกว่าข้าวเปล่าปกติ เพิ่มรสชาติให้เข้มข้นยิ่งขึ้นด้วยน้ำปลาลอยพริกสดสีแดงสดและกระเทียมสูตรโฮมเมดเหยาะราดลงไปได้ตามใจ แล้วมาปิดท้ายมื้อนี้กันด้วยเครื่องดื่มสมุนไพรต้มใหม่ทุกวันซึ่งมีกลิ่นหอมรสชาติหวานกำลังดีทั้ง "น้ำตะไคร้ใบเตย"/ "น้ำมะตูม" / "น้ำเก๊กฮวย" และ "น้ำกระเจี๊ยบ" ราคาเดียวที่ 45 บาท เสิร์ฟมาในแก้วทรงสูงพร้อมน้ำแข็งหลอดเย็นสดชื่น-ไม่อัดเต็มแก้วเกินไปจนดูน่าเกลียด นั่งรับประทานอาหารไทยอร่อยระดับมิชลินพร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตกเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นเกาะเกร็ดอันแสนโรแมนติกจนรู้สึกอิ่มกายสบายใจแล้วก็มาสรุปร้านนี้กันเลยครับ
มื้อนี้ผมมาทานกับแฟน 2 คนเกือบไม่หมดลองกดเครื่องคิดเลขบวกค่าอาหารเครื่องดื่มและ Service Charge อีก 10% เรียบร้อยแล้วจะอยู่ที่ 4,631 บาท หากเทียบกับบรรยากาศอันแสนสงบเงียบริมแม่น้ำเจ้าพระยานอกเมืองซึ่งไร้ความวุ่นวาย/รสชาติอาหารตำรับไทยแท้สุดจัดจ้านได้ดั่งใจไปจนถึงคุณภาพของวัตถุดิบที่ทางร้านเลือกนำมาใช้นั้นส่วนตัวถือว่าสมเหตุผล สำหรับรางวัล "มิชลินไกด์" ประเภท "บิบกูร์มองด์" ถึง 2 ปีซ้อนนี้เรียกว่าเป็นของแท้ไม่ได้มาเล่นๆอย่างแน่นอน ถ้าให้มาทานข้าวกับครอบครัวอีกครั้งคงเลือกเป็นช่วงกลางคืนซึ่งเราขอบอกเลยว่าสวยงามสุดๆ เพราะท้องฟ้าสะท้อนกับสายน้ำระยิบระยับและเรือนไทยโบราณเปิดไฟสีส้มให้ความอบอุ่นชวนสงบเห็นฝั่งตรงข้ามเป็นเจดีย์เอียงสว่างชัดมองได้จากท่าหน้าบ้านดูโรแมนติกแบบนี้รับคะแนนไป 5 ดาวเลยครับ🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : ริมสะพานพระราม 4 เลขที่ 44 หมู่ที่ 4 ตำบลบางตะไนย์ อำเภอปากเกร็ด นนทบุรี 11120
เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 11.00 - 23.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล)
โทร. 085-525-9242
Facebook : https://www.facebook.com/changwangimm/
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share อวดเพื่อนๆของคุณ
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comentarios