ทำงานช่วงเช้าภายในเมืองนครราชสีมาเสร็จก็เปิดมือถือหาร้านอาหารอร่อยที่อยู่ใกล้ๆกันก่อนเที่ยง จนมาสะดุดตากับ "Jade Cuisine" ซึ่งขายอาหารไทยในบรรยากาศร้านอันสวยงาม-ทันสมัยชวนถ่ายรูปหลายมุม ส่วนคะแนนรีวิวจากสำนักต่างๆอยู่ที่ 3.8-4.6 เต็ม 5 ดาว ได้รับคำชื่นชมจากคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่แสดงว่าต้องอร่อยเด็ดไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งตอนนี้ทางร้านกำลังจัดโปรโมชั่นพิเศษ บุฟเฟ่ต์ซีฟู้ด-อาหารไทยทานได้เกือบทั้งร้านกว่า 33 เมนูจ่ายแค่คนละ 499 บาทเท่านั้น (ได้ยินแบบนี้ก็ต้องรีบมา) วิธีการเดินทางถ้ามาด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้ปักหมุดตามชื่อบนแผนที่ในมือถือมีจุดสังเกตง่ายๆคือตั้งอยู่บนถนนพลแสนฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนสุรนารีวิทยา ซึ่งเราสามารถจอดรถได้ตามแนวยาวของถนนหน้าร้านตรงจุดไหนก็ได้ตามสะดวก (แค่ไม่ขวางทางเข้าร้านค้า/บ้านคนแถวๆนั้นเป็นอันใช้ได้) หากเดินทางมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะปัจจุบันที่โคราชมี Grab เรียกได้เกือบ 24 ชั่วโมง/คนขับเยอะรับงานรวดเร็วดีและที่สำคัญก็คือราคาไม่แตกต่างจากในกรุงเทพมหานครเลยแม้แต่น้อย มาถึงก็จะพบกับตัวร้านสีดำและรั้วปกคลุมด้วยต้นไม้สีเขียวดูร่มรื่นพร้อมป้ายชื่อเขียนว่า "Jade" สัญลักษณ์ตัวอักษร "J" กลับหัวแล้วนำมาชนกันเป็นรูปหัวใจสุดแบบนี้แสดงว่ามาถูกแล้ว เรามาถึงตอนเพิ่งเปิดพอดีเข้าไปด้านในกันเลยครับ
ประตูทางเข้าเป็นซุ้มเหล็กสีดำทรงสามเหลี่ยมล้อมรอบด้วยต้นไม้เขียวให้อารมณ์เหมือนได้อยู่ในกลางธรรมชาติประมาณร้านอาหารแถวอำเภอปากช่องหรือเขาใหญ่แต่ที่จริงแล้วตั้งอยู่ท่ามกลางตัวเมืองนครราชสีมา เริ่มต้นที่โซนแรกเป็น Outdoor ด้านหน้าสุดเป็นลานขนาดเล็กปูพื้นด้วยกระเบื้องหินตกแต่งด้วยกระถางต้นไม้สไตล์ยุโรปพร้อมผนังกับฝ้าเต็มไปด้วยต้นเฟิร์นห้อยลงมาดูสวยงาม ส่วนเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้มีทั้งโต๊ะ-เก้าอี้ไม้และหินอ่อนกับโครงเหล็กให้เข้ากับบรรยากาศสวนแบบโมเดิร์นผสมลอฟต์ได้อย่างลงตัว ฝั่งตรงข้ามมีเวทีเล็กสำหรับร้องดนตรีสดด้วยแต่ถูกคลุมด้วยผ้าใบงดให้บริการชั่วคราวเนื่องจากคำสั่งของรัฐบาล เหมาะสำหรับมานั่งทานอาหารชิลๆรับลมช่วงพลบค่ำพร้อมชมสวนและนั่งพูดคุยกับเพื่อนเคล้าดนตรีบรรเลงเบาๆ แต่ตอนนี้แดดค่อนข้างร้อนหนีเข้าไปในห้องแอร์กันครับ
เดินเข้ามาด้านในประตูกระจกขนาดใหญ่ก็จะพบกับห้องโถงกว้างพิเศษเปิดแอร์เย็นชุ่มฉ่ำ การตกแต่งภายในยังคงเน้นความเป็น Modern ผสม Loft ด้วยพื้นปูนเปลือยสีเขียว/กระเบื้องลายหมากรุกกับผนังก่อด้วยอิฐสีแดง-ดำ ส่วนเฟอร์นิเจอร์แบ่งโซนกันโดยครึ่งร้านแรกเป็นโต๊ะเก้าอี้ไม้แบบวินเทจย้อนยุคส่วนอีกครึ่งหลังเป็นเก้าอี้พร้อมโซฟาตัวใหญ่แบบสมัยใหม่ บ่งบอกถึงความเป็นไทยด้วยต้นกล้วยจริง-รูปวาดมือแบบ Street Art และโคมไฟจักสานทำเป็นตัวปลาผสมเข้ากันได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ยังมีห้องส่วนตัวกั้นด้วยกระจกใสรองรับลูกค้าได้ 8-10 คนฝ้าก็ทำจากเหล็กตะแกรงดัดตกแต่งด้วยต้นไม้สีเขียวห้อยลงมาดูสวยงามแปลกตา พร้อมโต๊ะกับเก้าอี้บุนวมนั่งสบายกับทีวีให้อีกเครื่องในห้อง มุมสุดท้ายที่พลาดไม่ได้ก็คือห้องน้ำตกแต่งสไตล์ธรรมชาติเปิดรับแสงนุ่มตาแบบเดียวกับรีสอร์ทสุดหรู เรียกได้ว่ามาร้านเดียวได้มุมถ่ายรูปสวยอีกหลายสไตล์พร้อมโพสต์อวดเพื่อนอีกเพียบไม่รู้จักเบื่อแน่นอนครับ
เมื่อมานั่งที่โต๊ะน้องพนักงานก็จะให้เราเลือกว่าทานเมนู A La Carte หรือบุฟเฟ่ต์สั่งไม่อั้นเลยขอดูราคาอาหารปกติก่อน หมวดแรกเป็นจานแนะนำที่มาถึงแล้วต้องสั่งเริ่มจาก หมูหมักนมสดจิ้มแจ่ว/ขนมจีนน้ำยาปูทะเล/ปูไข่ดองและแกงคั่วใบชะพลูปูราคา 250-700 บาท หน้าที่ 2 แกงคั่วหอยขม/ปูนิ่มทอดพริกเกลือ/หมูกรอบ/เย็นตาโฟหม้อไฟ/แกงส้มปูไข่กับคะน้าหมูกรอบราคา 180-800 บาท หน้าที่ 3 แกงเหลืองปลากะพง/สะตอผัดกุ้ง/ขาหมูทอด/ไข่เจียวคอนโดปู/ปลากะพงทอดน้ำปลา/กุ้งทอดซอสมะขามราคา 250-380 บาท หน้าที่ 4 เป็นหมวดเมนูทำจากกุ้งมีทั้งแกงส้มไข่ทอดชะอมกุ้ง/กุ้งผัดผงกะหรี่/กุ้งสะดุ้งน้ำปลา/กุ้งผัดเครื่องเทศอินเดีย/ต้มยำกุ้งน้ำมะพร้าวอ่อนกับกุ้งทอดพริกเกลือสูตรกวางตุ้งราคาทุกจานก็คือ 250 บาท รวมๆแล้วถือว่าอยู่ในเรทของภัตตาคารทั่วไปที่เคยทานครับ
หน้าที่ 5 เป็นหมวดอาหารที่ปรุงจากปู-ปลาหมึกมีทั้งเนื้อปูผัดผงกะหรี่/ข้าวผัดปู/ปลาหมึกผัดไข่เค็ม/ปลาหมึกไข่นึ่งมะนาว/ปูม้าดองน้ำปลาราคา 150-350 บาท หน้าที่ 6 และ 7 เป็นเมนูที่ทำจากปลาชนิดต่างๆมีทั้งปลากะพงทอดกระเทียม/ปลากะพงซอสพริกเคี่ยว/ปลาช่อนลุยสวน/แป๊ะซะปลาช่อน/กะพงท่องสมุนไพร/ปลาส้มทรงเครื่อง/เมี่ยงปลาช่อนทรงเครื่องและปลากะพงนึ่งมะนาวราคา 180-380 บาท หน้าที่ 8 เป็นหมวดเมนูทำจากหมูทั้ง สันคอหมูผัดใบกะเพราป่า/คอหมูหมักเครื่องปรุงทอดกรอบกับหมูสามชั้นทอดสไตล์เจ๊ดราคาจานละ 150-250 บาทครับ
ต่อกันด้วยหน้าที่ 8-9 เป็นหมวดยำต่างๆเริ่มต้นด้วย ยำเนื้อนุ่มองุ่นแดงออสเตรเลีย/ยำวุ้นเส้นกุ้งสด/ยำส้มโออยุธยา/ยำหอยแครงสมุนไพร/ยำมหาสมุทร/ลาบเป็ดหนังกรอบ/ยำแซลมอนนอร์เวย์/ยำคอหมูย่าง/ยำถั่วพูกุ้งสด/หมูมะนาวคะน้าฮ่องกงและลาบหมูก้อนทอดกรอบราคา 150-400 บาท หน้าที่ 10 เป็นเมนูแกงและต้มเริ่มต้นกันที่ สเต๊กแซลมอนวางบนมะเขือม่วงย่างซอสแกงเขียวหวาน/ต้มแซ่บกระดูกอ่อนหมู/แกงป่าเมืองจันทร์แซลมอน/มัสมั่นเนื้อสูตรพิเศษ/แกงจืดสาหร่ายเต้าหู้หมูสับ/แกงจืดไข่เจียวน้ำ/ต้มยำรวมมิตรทะเลและต้มยำปลากะพง ราคา 180-350 บาท หน้าที่ 11-12 เป็นเมนูผัด/น้ำพริกกับของทานเล่นอย่างละนิดหน่อยทั้งกะหล่ำปลีฉ่ำน้ำปลาเบคอนกรอบกรุบ/หน่อไม้ฝรั่งผัดซอสหอยนางรมกุ้งสด/ผัดบรอกโคลีกุ้งสด/ชุดน้ำพริกกะปิเมืองจันทร์ฯปลาทูแม่กลองทอด/น้ำพริกลงเรือพร้อมชุดผักสด/ปูหลนกะทิสูตรพิเศษเมนูสุดท้ายคือไก่ทอดสูตรคุณแม่บัวผันราคา 150-250 บาทครับ
นอกจากนี้ยังมีรายการเครื่องดื่มต่างๆสำหรับสายชิลนั่งสบายๆเคล้าแอลกอฮอล์ทั้งเบียร์/เบียร์สด/สุรายกขวดและไวน์ชั้นดีให้เลือกมากมายกว่า 20 รายการ ส่วนมิกเซอร์ทั้งโซดา/น้ำอัดลม/น้ำเปล่า/น้ำแข็งรายการละ 30 บาทเท่ากันทั้งหมด สายสุขภาพทางร้านมีน้ำผลไม้คั้นสดและปั่นมากมายรวม 8 เมนูราคา 90-120 บาท ชอบความซาบซ่าแต่เบื่อน้ำอัดลมแบบเดิมๆก็ต้องสั่ง Italian Soda รวม 8 รสชาติราคาแก้วละ 80 บาท ค๊อกเทลสีสันสวยงามมีให้เลือกสั่งรวมกว่า 8 เมนูราคาแก้วละ 199 บาท สุดท้ายก็คือขนมหวานสไตล์ไทย/ไอศกรีมโฮมเมดและบิงซูเกาหลีราคา 100-250 บาท โดยรวมถือว่าไม่แพงแต่สำหรับสายกินดุ-เน้นคุ้มอย่างเราตัดสินใจว่าต้องบุฟเฟ่ต์เท่านั้นครับ
รายการอาหารในบุฟเฟ่ต์มีให้สั่งรวมกว่า 33 เมนู จ่ายเพียงแค่คนละ 499 บาท มีขนมหวานให้แต่น้ำอัดลมรีฟีลต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ 69 บาท นั่งทานได้ 2 ชั่วโมงเต็ม (เริ่มคิดเวลาทันทีเมื่ออาหารจานแรกวางบนโต๊ะ) เด็กเล็กสูงไม่ถึง 110 ซม. ทานฟรี ส่วนสูงอยู่ระหว่าง 110-140 ซม. ให้จ่ายเพียงคนละ 250 บาทเท่านั้น โดยแต่ละจานเสิร์ฟให้ปริมาณเพียง 50% จากไซส์ A La Carte ปกติเพื่อให้เราทานได้หลายๆอย่าง น้องพนักงานจะนำใบสั่งอาหารเป็นตารางแบบนี้มาให้เราเขียนจำนวนที่ต้องการลงในช่องว่างด้านขวาสุด พร้อมกับเขียนเลขที่โต๊ะตรงหัวมุมด้านบนแล้วยื่นกลับคืนไปเพื่อรออาหารมาเสิร์ฟ ส่วนเครื่องดื่มเราสั่งมาทั้งน้ำอัดลมรีฟีลกับน้ำเปล่าขวดละ 30 บาท หน้าตาของแต่ละเมนูจะสวยงามและรสชาติดีจนต้องร้องว่า "เจ๊ดดดดดดด" อย่างทางร้านเค้าว่าไหมเดี๋ยวเรามาลองชิมกันครับ
จานแรกมาเสิร์ฟเป็น Signature ของทางร้านก็คือ "ขนมจีนเครื่องทรงใหญ่น้ำยาปูทะเล" เป็นขนมจีนเส้นสดๆไม่มีกลิ่นเปรี้ยวแบบหมักจึงไม่ต้องกลัวท้องเสียเสิร์ฟมาพร้อมกับน้ำยากะทิสัมผัสเข้มข้นพิเศษหอมกลิ่นพริกแกงคั่วเผ็ดถึงเครื่องแต่ไม่แตกมัน ใส่เนื้อปูลงไปในถ้วยให้แบบจุกๆราดลงบนเส้นทานคู่กับผักสดทั้งถั่วงอก/ใบโหระพาและกะหล่ำปลีซอยช่วยลดความเผ็ดร้อน-เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบเคี้ยวแล้วสดชื่นเข้ากันได้เป็นอย่างดี เมนูต่อมาคือ "แกงคั่วใบชะพลูปูทะเลสด" โดยมีรสชาติพื้นฐานแบบเดียวกับชามแรกแต่เพิ่มใบชะพลูซอยยอดอ่อนๆเคี้ยวง่ายไม่เหนียวติดฟันลงไปพร้อมเพิ่มเนื้อปูก้อนใหญ่เคี้ยวเต็มคำลงไปสะใจกว่า แต่เนื่องจากสัมผัสเข้มข้นมากจึงต้องทานคู่กับข้าวสวยหรือเส้นขนมจีนแทนจึงจะรู้สึกพอดี รสหวาน-เค็มกลมกล่อมเผ็ดร้อนหอมมันกะทิจัดจ้านถึงใจอย่างจริงอย่างที่รีวิวเก่าเค้าบอกกัน สำหรับใครที่ทานเผ็ดไม่เก่งเมนูนี้อาจจะไม่ค่อยชอบแต่ส่วนตัวแนะนำว่าต้องมาโดนให้ได้ครับผม
จานต่อไปเป็นวัตถุดิบราคาแพงที่ทางร้านเอามาเสิร์ฟให้ไม่อั้นก็คือ "ปูม้าดองสามรสหอมน้ำปลากวน" เป็นปูม้าสดตัวใหญ่เนื้อใสหวานฉ่ำมีไข่เล็กน้อยเอามาดองน้ำปลากวนรสเค็มหวานกลมกล่อมเพิ่มพริกสดและกระเทียมสับใส่ลงไปอย่างจุใจจนต้องกลับไปแปรงฟันก่อนทำงานในช่วงบ่ายแต่อร่อยโดนใจสุดๆเลยครับ จานต่อมานั่นก็คือ "เนื้อปูผัดผงกะหรี่สูตรเจ๊ด" รสชาติสมดุลมีทั้งหวานเค็มกลมกล่อมหอมนวลไข่ไก่ผสมนมข้นจืดและน้ำมันพริกเผาคลุกกับเนื้อปูกรรเชียงชิ้นใหญ่เนื้อเด้งเคี้ยวเต็มปากไหลลื่นลงคอทานง่ายไม่แพ้ภัตตาคารอาหารจีนระดับแนวหน้าในกรุงเทพเลยครับ จานต่อไป "กุ้งผัดผงกะหรี่สูตรเจ๊ด" มีรสชาติพื้นฐานไม่แตกต่างจากจานก่อนแค่เปลี่ยนเป็นกุ้งแชบ๊วยเพิ่มพริกหวานสีสันสดใส โดยปอกเปลือกผ่าหลังและเหลือหางเอาไว้เนื้อฉ่ำเด้งสู้ฟันกว่าปูอันนี้ก็แล้วแต่คนชอบเลยครับ
จานต่อไปขึ้นทำเนียบอร่อยสุดในชีวิตอีกอย่างนั่นคือ "หมึกสดผัดไข่เค็มมันจันทร์" เป็นปลาหมึกสดตัวใหญ่เนื้อเด้งหั่นเป็นชิ้นเคี้ยวเต็มคำคลุกในซอสไข่เค็มเข้มข้นราวกับครีมรสเค็มละมุนนุ่มนวล ตัดกับผักต่างๆที่ให้รสหวานกรุบกรอบมีทั้งหอมใหญ่/พริกหยวกหวานสีสันสดใสและต้นหอม ความเด็ดอีกอย่างของจานนี้ก็คือไม่มีน้ำแฉะเละคาดว่าเชฟเค้าน่าจะนำปลาหมึกไปลวกก่อนผัดแล้วคลุกซอสไข่เค็มสูตรเด็ดพอสุกจึงอร่อยโดนใจอย่างที่เห็น ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในรายการแนะนำแต่เราขอให้สั่งเลยครับ จานต่อไปเป็น "กุ้งทอดซอสมะขามสามรส" เป็นแชบ๊วยผ่ากลางหลังและเหลือหางเอาไว้ทอดให้มีสัมผัสกรุบกรอบเนื้อเด้งกระชับ ราดซอสมะขามเปียกเปรี้ยวหวานโรยหอมเจียวต้นหอมแบบเดียวกับไข่ลูกเขยที่เราคุ้นเคย อีกจานคือ "กุ้งสดทอดพริกเกลือสูตรกวางตุ้ง" ทอดให้เนื้อพอเด้งกระชับเหมือนกับจานก่อนแค่ไม่ได้คลุกแป้งบางๆ ผัดกับพริกสด/กระเทียมเจียว/ต้นหอมและรากผักชีรสหวานเค็มลงตัวดีครับผม
หมวดต่อมาเป็นจานรสแซ่บเริ่มจาก "กุ้งสะดุ้งน้ำปลาแซ่บ" ใช้แชบ๊วยตัวใหญ่ปอกเปลือกผ่าหลังเนื้อสีขาวลวกให้พอสุกกรอบเด้งราดด้วยน้ำยำหนักพริกสดกับกระเทียมสับแบบเดียวกับปูม้าดองน้ำปลาจานก่อน อร่อยสะใจและได้รับกลิ่นรุนแรงติดค้างภายในปากจนต้องไปแปรงฟันก่อนทำงานเหมือนเดิม อีกจานรสชาติพื้นฐานเหมือนกันเพียงแค่เปลี่ยนวัตถุดิบคือ "ยำหอยแครงสดรสจัดสมุนไพร" เป็นหอยแครงสดลวกประมาณ 1-1.30 นาทีให้สุกสนิทไม่มีเลือดไหลนองแกะเอาแต่เนื้อล้วนๆมาคลุกน้ำยำสูตรเด็ดของทางร้านก่อนเสิร์ฟจึงทานง่ายและไม่ต้องใช้อุปกรณ์แกะให้เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ จานต่อไปคล้ายๆกันแต่ก็มีความแตกต่างคือ "ยำทะเลเดือด" หรือยำทะเลรวม ใส่ทั้งปลาหมึกชิ้นใหญ่/กุ้งแชบ๊วยตัวโต/หอยแมลงภู่ลวกแกะเอาแต่เนื้อมายำ ใส่ผักต่างๆทั้งพริกสด/กระเทียม/หอมแดงและมะเขือเทศราชินีลูกเล็กกับตั้งโอ๋ ปรุงรสชาติเปรี้ยว/เค็มแบบยำร้านเหล้าไม่ใช่ยำสมัยใหม่ที่ค่อนข้างหวานเหมือนจานก่อนๆ สุดท้ายเป็นเมนูไทยโบราณแท้อย่าง "ยำส้มโออโยธยา" เป็นเนื้อส้มโอแกะเป็นเกล็ดเล็กคลุกมะพร้าวคั่ว/หอมเจียวและกุ้งสดเนื้อเด้ง รสเปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดพอกลมกล่อมผสมน้ำส้มโอในปากอร่อยแบบชาววังเลยครับผม
จานต่อไปเป็นพวกเมนูแกงต่างๆเริ่มจาก "แกงเหลืองปักษ์ใต้กุ้ง" รสเค็มเปรี้ยวใส่เครื่องแกงพอเผ็ดกลมกล่อมทานง่ายไม่เข้มข้นจนเกินไปเข้ากับเนื้อกุ้งตัวใหญ่เด้งใส่กะหล่ำปลีซอยได้ดี ในฐานะคนใต้ให้ผ่านสำหรับบุฟเฟ่ต์ที่ปรุงรสชาติมาประมาณนี้ครับ ถ้วยต่อไปคือ "แกงส้มไข่ทอดชะอมกุ้งสด" ทางร้านปรุงรสน้ำแกงให้เปรี้ยว-เค็มหอมกลิ่นน้ำมะขามเปียกกำลังดีและใส่เนื้อปลาลงไปปั่นพอข้น เครื่องต่างๆจัดเต็มทั้งไข่ชะอมทอดและกุ้งสดตัวใหญ่เคี้ยวเต็มคำ โดยรวมรสไม่จัดจ้านแต่ทานได้ง่ายๆทุกคนแบบเดียวกับถ้วยแรกครับ เมนูต่อไปคือ "ต้มยำกุ้ง" ทางร้านปรุงเป็นสูตรน้ำข้นรสเปรี้ยวหวานเค็มตัดเล็กน้อยพอกลมกล่อม หอมเครื่องสมุนไพรทั้งข่า-ตะไคร้กับใบมะกรูดอย่างเด่นชัดขึ้นจมูกซดร้อนๆสดชื่นเข้ากับเนื้อกุ้งสีขาวเด้งสู้ฟันเป็นอย่างดี จานต่อไปยกออกมาทั้งหม้อทองเหลืองนั่นก็คือ "หมึกไข่ประจวบฯเกยอ่าวมะนาว" เป็นปลาหมึกไข่เอามาหั่นเป็นชิ้นๆก่อนจะต้มลงในน้ำปรุงรสนึ่งมะนาวรสเปรี้ยว/เค็มอมหวานใส่เห็ดหูหนูขาวกรุบกรอบฉ่ำน้ำซุป โรยหน้าก่อนเสิร์ฟด้วยต้นหอมกับผักชีใบเลื่อยซอยก่อนเสิร์ฟยกทั้งหม้อมาแบบร้อนๆซดแล้วสดชื่นตื่นตาสะดุ้งดีมาก ใครที่เป็นสายดื่มเริ่มมึนๆมาสั่งชามนี้รับรองว่าสร่างอย่างแน่นอนครับผม
หมวดถัดไปเป็นของทะเลทอดต่างๆเริ่มจาก "ปลากะพงทอดน้ำปลา" ปกติทางร้านจะเสิร์ฟเพียงครึ่งตัวแต่วันนี้เรามากันเยอะเลยขอมาแบบเต็มๆผ่ากลางแบบผีเสื้อทอดมาจนกรอบตั้งแต่หัวจรดหาง ร้านซอสน้ำปลาปรุงรสเค็ม-หวานสูตรของทางเชฟตอนร้อนๆให้ซึมเข้าไปในเนื้อปลา ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดพริกตำสีแดงไม่มียำมะม่วงเหมือนกับที่อื่นแต่ก็อร่อยได้ความกรุบกรอบหวานฉ่ำของกะพงทอดใหม่ในทุกๆคำ จานต่อไปใช้วัตถุดิบราคาแพง "ปูนิ่มผัดพริกเกลือ" ทางร้านใช้เป็นปูนิ่มคุณภาพดีเนื้อไม่เค็มปี๋แบบที่ขายแช่แข็งตามร้านขายส่งเอามาชุบแป้งแล้วทอดกรอบ คลุกกับพริกสด/กระเทียมเจียว/รากผักชี/พริกหวานหั่นชิ้นเล็ก ปรุงรสให้เค็มหวานกลมกล่อมราวกับภัตตาคารจีนระดับเหลาก่อนจะโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยอร่อยสุดๆ เมนูต่อไปก็คือ "หมึกชุบแป้งทอดกรอบสไตล์เจ๊ด" เป็นปลาหมึกตัวขนาดกลางๆเอามาชุบแป้งและเกล็ดขนมปังทอดกรอบทานคู่กับน้ำจิ้มบ๊วยหรือซอสมะเขือเทศ ปลาหมึกสู้ฟันบางชิ้นมีไข่อยู่กลางท้องแป้งกรุบกรอบเข้ากับ Ketchup เข้มข้นและบ๊วยเจี่ยรสหวานหอมได้เป็นอย่างดี อีกจานคือ "กุ้งชุบแป้งทอดกรอบสไตล์เจ๊ด" เหมือนกับเมนูที่แล้วแต่เปลี่ยนเป็นแชบ๊วยผ่ากลางหลังกรอบนอกเนื้อในเด้งชุ่มฉ่ำดีมากๆ
หมดเมนูซีฟู้ดมาต่อกันที่หมูและเนื้อวัวสูตรเด็ดของทางร้านอย่าง "เนื้อวัวย่างจิ้มแจ่วแซ่บอย่างไทยอีสาน" เป็นส่วนเสือร้องไห้เอาไปหมักให้รสหวานเค็มหอมสมุนไพรเข้าเนื้อแล้วย่างบนเตาถ่านจนมีกลิ่นหอมไขมันขอบเกรียมเล็กน้อยเสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มแจ่วอีสานรสเค็มนำตัดหวานเผ็ดหอมข้าวคั่วกับพริกป่น ไม่หวานเหนียวหนืดน้ำตาลปี๊บ-ใส่น้ำมะขามเปียกลงไปให้นุ่มนวลแต่แซ่บจี๊ดโดนใจ ส่วนเนื้อค่อนข้างไขมันน้อยและสัมผัสเหนียวนิดหน่อยแต่หอมคล้ายๆกับโพนยางคำที่คุ้นเคย จานต่อไปคือ "สามชั้นทอดกรอบสไตล์เจ๊ด" เป็นหมูส่วนสามชั้นเอาไปหมักสมุนไพร/ชุบแป้งบางๆก่อนนำลงทอดทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วสูตรของทางร้านรสเค็ม-หวานสัมผัสนุ่มไขมันชุ่มฉ่ำโดนใจ ใครไม่ทานเนื้อวัวย่างทางร้านก็มีเป็น "หมูหมักย่างนมสดจิ้มแจ่วอีสานแท้ๆ" ใช้คอหมูที่ชั้นไขมันแทรกละเอียดราคาแพงเอามาหมักกับสมุนไพรและซอสจนเข้าเนื้อย่างบนเตาถ่านก่อนจะหั่นเป็นชิ้นๆทานคู่กับน้ำจิ้มแจ่วอีสานสุดแซ่บกินได้เพลินๆเช่นเคย
จานต่อไปก็คือ "หมูกรอบสูตรพิเศษเจ๊ดสไตล์" ซึ่งมีความแตกต่างจากร้านอื่นที่เคยทานมาเริ่มต้นจากเนื้อหมูที่นุ่มมากๆ (คาดว่าน่าจะเอาไปตุ๋นก่อนทอด) ชั้นไขมันน้อยและหนังกรอบฟูเป็นฟองอากาศเล็กๆรสเค็มกลมกล่อม กินคู่กับซอสซีอิ๊วดำหวานแบบเดียวกับน้ำจิ้มที่เสิร์ฟกับหมูหันแบบภัตตาคารจีนโรยงาขาว รสหวานสัมผัสเหนียวเข้มข้นแต่ไม่เหม็นกลิ่นกากน้ำตาลเข้ากับความเค็มของหมูกรอบได้เป็นอย่างดี เมนูต่อไปกินง่ายๆไม่ซับซ้อนก็คือ "เฟรนซ์ฟรายส์" ทางร้านใช้แบบแท่งใหญ่ทอดกรอบนอกด้านในเป็นเนื้อครีมละเอียดราวกับมันบดโรยเกลือ จิ้มกับซอสมะเขือเทศแบบ Ketchup รสเปรี้ยวหวานยิ่งเข้ากันจิ้มเข้าปากเพลินๆ จานต่อมา "กะหล่ำฉ่ำน้ำปลาเบคอนกรอบ" ซึ่งก็คือกะหล่ำปลีทอดน้ำปลา รสเค็มหวานผักกรอบกลิ่นน้ำปลาผสมควันกระทะคลุ้งขึ้นจมูกโรยหน้าด้วยเบคอนทอดกินได้เพลินอีกจาน อยากซดซุปร้อนๆแต่ไม่เผ็ดต้องสั่งเป็น "แกงจืดสาหร่ายเต้าหู้หมูสับ" แต่วันนี้เหมือนจะลืมใส่สาหร่ายลงไปด้วย น้ำซุปสีทองรสเค็มอมหวานกลมกล่อมใส่หมูสับเด้งหยาบผสมไขมันน้อย (คาดว่าทางร้านน่าจะบดด้วยตัวเอง) เพิ่มใบผักกาดขาวกับเต้าหู้ไข่ไก่และโรยหน้าด้วยต้นหอม-ขึ้นฉ่ายซดตอนร้อนๆรู้สึกอุ่นท้องคล่องคอดีมากครับ
อาหารคาวชุดสุดท้ายเป็นเมนูข้าวอย่าง 'ข้าวผัดกุ้ง" และ "ข้าวผัดปู" โดยมีพื้นฐานเดียวกันมาจากข้าวผัดใส่ไข่รสชาติเค็มอมหวานนิดๆพอกลมกล่อมผัดให้เครื่องปรุงเคลือบตัวเมล็ดข้าวอย่างทั่วถึง แค่เปลี่ยนท็อปปิ้งด้านบนสุดเป็นกุ้งแชบ๊วยไซส์ใหญ่และเนื้อปูตามแต่ละเมนู ก่อนจะทานแค่บีบน้ำมะนาวสดลงไปอีกนิดตัดความเปรี้ยวสดชื่นแต่ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีพริกน้ำปลาอีกหน่อยจะดีมากๆครับ จานต่อไปไม่ได้สั่งแต่เป็นโปรโมชั่นพิเศษประจำเดือนของที่ร้านก็คือมา 4 คนฟรี "กุ้งแม่น้ำเผา" ให้คนละ 1 ตัว ทางร้านคัดมาไซส์ขนาดกลางๆย่างให้เนื้อพอสุกหัวมันเยิ้มๆราดน้ำจิ้มซีฟู้ดพริกสดสีแดงรสหวานอมเปรี้ยวอีกหน่อยก็อร่อยเด็ด ตอนนี้ใกล้จะอิ่มแล้วมาลุยขนมหวานกันต่อเลยครับ
ขนมหวานของที่ร้านมีให้สั่งแค่ 2 รายการแต่รสชาติและความใส่ใจไม่ธรรมดานั่นคือ "กรานิต้าเฉาก๊วย" เป็นวุ้นเฉาก๊วยสัมผัสเหนียวหนึบเคี้ยวสู้ฟันราดน้ำเชื่อม ท็อปปิ้งด้วยกรานิต้าหรือเกล็ดน้ำแข็งไสสไตล์อิตาลีแต่เปลี่ยนจากน้ำผลไม้เป็นกะทิรมควันแบบโบราณหอมๆโรยหน้าด้วยเกล็ดถั่วลิสง-แอลมอนด์กรุบกรอบ ก่อนกินให้ผสมทุกอย่างเข้ากันจะกลายเป็นเฉาก๊วยกะทิสดหอมรมควันและกรอบถั่วบดเย็นสดชื่นเกล็ดน้ำแข็งอร่อยแปลกใหม่ ส่วนอีกเมนูก็คือ "บิงซูสตรอเบอรี่" เป็นเกล็ดน้ำแข็งทำจากนมเข้มข้นหอมมันสัมผัสเนียนละเอียดราวกับหิมะราดด้วยสตรอเบอรี่ซอสรสหวานอมเปรี้ยวโรยหน้าด้วยครัมเบิ้ลกรุบกรอบหอมกลิ่นเนยเข้ากันได้อย่างลงตัว ตอนนี้อิ่มจุกมากเพราะเราสั่งอาหารไปประมาณ 40 รายการ (เฉลี่ย 1 คนทานไป 10 เมนู) ได้เวลาเรียกน้องพนักงานมาคิดเงินกันแล้วครับผม
มื้อนี้เรามากินกัน 4 คนสั่งอาหารไปกว่า 40 เมนูจ่ายไป 2,362 บาท ถ้าไม่สั่งน้ำเปล่าจะราคาบุฟเฟ่ต์เฉลี่ยคนละ 568 บาท คิดยังไงก็คุ้มสุดๆเพราะแต่ละจานทางร้านเขาใช้วัตถุดิบคุณภาพสูงจริงไม่จกตากับรสชาติเข้มข้นปรุงตามแบบฉบับไทยอย่างแท้จริง อีกทั้งยังไม่มี Vat.7% และ Service Charge อีก 10% เหมือนร้านอาหารที่กรุงเทพฯ นั่งสบายในบรรยากาศสุดร่มรื่นสวยงามล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ราวกับอยู่บนรีสอร์ทเขาใหญ่แบบนี้ ก็ได้รับคะแนนความอร่อยและคุ้มค่าสุดๆไปเลย 5 ดาวครับผม 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : เลขที่ 28 ถนนพลแสน ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา 30000
เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 11.00-23.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล)
โทร. 087-644-2693
Facebook : www.facebook.com/JADEThaiCuisine
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share อวดเพื่อนๆของคุณ
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comments