เงินเดือนเพิ่งออกก้อนใหญ่พร้อมโบนัสประจำไตรมาสแบบนี้ถือว่าเป็นโอกาสดีๆซึ่งมีไม่ค่อยบ่อยนักเลยปรึกษากับคุณแฟนให้ช่วยค้นหาร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์โอมากาเสะที่อยากมาฉลองด้วยกันซึ่งตกลงและโทรจองคิวเรียบร้อย ชื่อว่า "Kappo Kazunobu" ได้คะแนนรีวิวจากทุกสำนักเฉลี่ย 4.2-4.6 เต็ม 5 ดาว นั้นถือว่าไม่ธรรมดา มีจุดเด่นไม่เหมือนใครตั้งแต่ประเภทของอาหารที่ยกมาเสิร์ฟภายในคอร์สที่เรียกว่า "Kappo" (คัปโปะ) ภาพรวมแล้วมีความคล้ายคลึงกับสไตล์ "Kaiseki" (ไคเซกิ) แต่เชฟจะค่อยๆแสดงการจัดเตรียมวัตถุดิบเริ่มต้นตั้งแต่การแล่/นึ่ง/ทอด/ย่างและประดับตกแต่งจานให้สวยงามก่อนวางขึ้นโต๊ะทีละจานตรงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ ซึ่งทำให้เราเห็นถึงความตั้งใจอย่างละเมียดละไมในทุกๆขั้นตอนของการเปิดประสบการณ์สุดพิเศษครั้งนี้ตั้งแต่เริ่มจนจบ โดยแต่ละคอร์สจะเสิร์ฟอาหารให้ 13-16 เมนู ราคาเริ่มต้นที่ 4,000 บาท++ และสูงสุดที่ 7,000 บาท++ เปิดให้บริการ จ.-ศ. 2 รอบก็คือ 18.00 กับ 20.00 น. ส่วน ส.-อา. เพิ่มมาอีก 1 รอบในช่วง 12.30-14.30 น. (ไม่รับลูกค้า Walk In ทุกๆกรณี) ส่วนวิธีการเดินทางตั้งพิกัดมาที่โครงการนิฮอนมาชิชั้น 2 ตรงบันไดทางขึ้นพอดี ถ้าเดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวมีลานจอดรถขนาดใหญ่ให้บริการ 3 ชั่วโมงแรกฟรีเมื่อมีประทับตราร้านเกินกว่านั้นคิดชั่วโมงละ 20 บาท ถ้าเดินทางมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะแนะนำให้ลง BTS สถานีพร้อมพงษ์แล้วเรียกรถเข้ามาอีกประมาณ 1.5 กิโลเมตร จะพบกับหน้าร้านเป็นประตูกับกำแพงไม้สีดำสนิทพร้อมป้ายเขียนด้วยลายมือภาษาญี่ปุ่นแบบนี้แสดงว่ามาถูกแล้วครับ
มาถึงแจ้งชื่อกับน้องพนักงานที่หน้าประตูแล้วก็จะถูกเชิญเข้ามาข้างในเพื่อนั่งรอเชฟเตรียมวัตถุดิบสักครู่ภายในห้องรับรองพิเศษ มีเก้าอี้พร้อมโต๊ะทรงกลมตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นวางตรงกลางซึ่งด้านล่างเต็มไปด้วยหนังสือที่เกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มของญี่ปุ่นให้อ่านเพลินๆระหว่างรอ นอกจากนี้ฝั่งตรงข้ามที่เป็นโถงทางเดินยาวยังมีห้องส่วนตัวขนาดใหญ่ให้บริการอีก 3 ห้องรองรับลูกค้าเป็นกลุ่มใหญ่ได้ประมาณ 8-10 คน โดยอาหารแต่ละจานจะถูกปรุงใหม่แล้วยกมาเสิร์ฟภายในห้องนี้ตามคอร์สของแต่ละคนที่จองมา ระหว่างทางก็มีขวดวิสกี้กับสาเกสุดพรีเมี่ยมราคาแพงนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นวางบนชั้นด้านในกระจกตามกำแพงไว้กระตุ้นความอยากของลูกค้าสายดื่มทั้งหลาย ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถูกเรียกเข้าไปด้านในห้องโถงหลักเนื่องจากเรามาถึงค่อนข้างช้าเพราะผมเพิ่งเลิกงานแล้วก็ต้องแวะไปรับคุณแฟนต่ออีกทั้งมีปริมาณรถยนต์บนถนนสุขุมวิทผ่านแยกอโศกในช่วงเย็นทำให้การจราจรเป็นอัมพาตหนักสุดๆ อีกทั้งยังมีความโชคดีที่วันนี้ไม่มีลูกค้าคนอื่นๆนอกจากโต๊ะของเราเท่านั้นจึงได้รับอนุญาตให้มาสายนิดหน่อยครับผม
เดินเข้ามาด้านในสุดผ่านผ้าม่านกั้นสีน้ำเงินเข้มก็จะพบกับห้องโถงหลักซึ่งมีจุดเด่นเลยก็คือเคาน์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่และยาวเป็นพิเศษที่สามารถรองรับลูกค้าได้สูงสุดถึง 10 คนต่อรอบ ทำจากไม้เนื้อแข็งโทนสีสว่างเคลือบเงามันแวววาวพร้อมเก้าอี้แบบมีที่พักแขน (ส่วนคนตัวใหญ่อย่างเราขอแบบไม่มีที่พักแขนทางร้านก็จัดหามาให้) รองก้นด้วยเบาะนุ่มชวนให้นั่งสบายๆมองเห็นครัวขนาดเล็กที่เชฟใช้ในการเตรียมวัตถุดิบพร้อมปรุงอาหารต่างๆได้อย่างชัดเจนดี ตั้งแต่เข้ามาการตกแต่งภายในร้านก็เน้นสีดำสนิทมาตลอดตัดด้วยไม้โทนสีสว่างกับของตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นโบราณให้อารมณ์ดูหรูหราตามวิถีแห่งเซน เพิ่มความอบอุ่นด้วยแสงไฟโทนสีเหลืองอมส้มยกเว้นโซนอาหารปรุงร้อนภายในครัวที่ใช้หลอดไฟแสงสีขาวปกติพร้อมชั้นวางมีดไซส์ต่างๆเรียงบนชั้นไม่ไกลกันเพื่อบ่งบอกว่าตรงนี้เป็นครัวหลักที่จะปรุงอาหารเมนูพิเศษต่างๆให้วันนี้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลารีบนั่งเก้าอี้ที่จองไว้ก็พร้อมฟินกับมื้อสุดพิเศษนี้แล้วครับ
บนโต๊ะอุปกรณ์การทานต่างๆถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ให้เกือบครบพร้อมอย่างยกเว้นบางเมนูที่เป็นน้ำซุปพนักงานจะค่อยหยิบช้อนออกมาให้จากชั้นด้านหลังประกอบไปด้วย 1. ถาดรองจานสำหรับวางอาหารที่เชฟเสิร์ฟทรงวงกลมตัดขอบสีทอง-ดำ 2. ตะเกียบพร้อมที่วางใช้คีบได้ทั้งสองด้าน 3. ผ้าสำหรับปูรองตักสีขาวสะอาดพิมพ์ลายชื่อร้านที่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น 4. ที่รองแก้วทำจากกระดาษแข็งสีขาวพิมพ์ลายแบบเดียวกับผ้ารองตัก เมื่อมานั่งที่โต๊ะแล้วบริการเสริมอื่นๆก็ถูกยกตามมาเป็น "ผ้าเย็น" มีกลิ่นหอมละมุนม้วนใส่มาในถาดทรงยาวสไตล์ญี่ปุ่นเอาไว้สำหรับเช็ดมือหรือหน้าเพื่อเพิ่มความสดชื่นก่อนมื้ออาหารและ "Yuzu Mocktail" ใส่แก้วทรงกระบอกสูงแชมเปญมาเสิร์ฟก่อนเป็นอันดับแรก เป็นน้ำจากผลส้มยูสุแท้รสหวานอมเปรี้ยวมีกลิ่นหอมและซ่าเบาๆที่ปลายลิ้นพร้อมใส่น้ำแข็งเกล็ดเล็กเคี้ยวได้กรุบกรอบเย็นชื่นใจเหมือนเป็นการเปิดต่อมรับรสให้พร้อมก่อนจะเริ่มอาหารจานแรก โดยวันนี้ผมกับแฟนจองมาเป็นชุด 4,000 บาท++ กับ 7,000 บาท++ น้องพนักงานก็เอาใบรายการอาหารที่เราจะได้ทานมาให้ดูก่อน ถ้าใครมีประวัติการแพ้หรือไม่ทานวัตถุดิบตัวไหนเป็นพิเศษรบกวนบอกทางร้านตอนจองเพื่อที่เชฟจะได้จัดเตรียมเมนูจานอื่นทดแทนให้ตามดุลยพินิจของทางร้านและมาเป็นกลุ่มจะแชร์อาหารกันก็ได้ไม่มีกฎห้าม โดยปกติในโอมากาเสะที่อื่นเชฟจะหยิบวัตถุดิบออกมาใส่ถาดโชว์ก่อนแต่ที่นี่ไม่พูดเยอะกล่าวสวัสดีแล้วเริ่มปรุงจานแรกกันเลย
เพื่อป้องกันการสับสนเนื่องจากมื้อนี้ผมกับแฟนกินโอมากาเสะคนละราคากันจึงขอเริ่มรีวิวกันที่ 4,000 บาท++ จานแรกเสิร์ฟเป็น "Yaki Goma Tofu" เป็นเต้าหู้สดโฮมเมดทำจากงาขาวแทนถั่วเหลืองตามสูตรปกติมีเนื้อสัมผัสเข้มข้นเหนียวหนึบสู้ฟันหอมมันราวกับแป้งโมจิหอมงานำย่างลงบนเตาถ่านให้พอได้กลิ่นไหม้เกรียมติดด้านนอกนิดๆ ท็อปปิ้งด้วยอูนิหรือไข่หอยเม่นสายพันธุ์มุราซากิ/โกจิเบอรี่/กระเจี๊ยบและวาซาบิขูดสดจากต้น ราดด้วยซอสพิเศษที่ปรุงจากโชยุผสมดาชิปรุงรสให้เค็มหวานกลมกล่อมเข้ากับความหอมมันของเต้าหู้และวัตถุดิบต่างๆที่ใส่ลงไปได้เป็นอย่างดี ช่วยเปิดประสาทการรับรสให้ตื่นขึ้นพร้อมที่จะรับความอร่อยใหม่ที่จะมาเสิร์ฟเป็นจานถัดไป เมนูที่สองถูกนำมาวางต่อกันทันทีเมื่อจานแรกถูกพนักงานเก็บไปคือ "Ankimo Monaka Yuzu Miso" เป็นแผ่นแป้งเวเฟอร์สีชมพูรูปดอกซากุระมีชื่อว่าโมนากะของญี่ปุ่นที่มีสัมผัสกรอบนอกเหนียวหนึบเวลาเคี้ยวนิดๆ เข้ากันได้ดีกับไส้สุดแน่นตรงกลางทำจากตับปลาอังโกะบดผสมซอสยูสุมิโสะพร้อมฟักแฟงแตงอ่อนหั่นแบบลูกเต๋ากับต้นหอมซอย ได้ความหอมมันนวลเนียนและกรุบกรอบพร้อมกลิ่นอันสดชื่นหลากหลายมิติในคำเดียวจนทำให้น้ำย่อยในกระเพาะเริ่มทำงานครับ
เมนูต่อมาเป็นซุปใสสไตล์ญี่ปุ่นเพื่อล้างกลิ่นคาวจากตับปลาในปากก่อนหน้านี้นั่นคือ "Hotate Shinjo Soup" เป็นลูกชิ้นโฮมเมดสูตรพิเศษทำมาจากเนื้อหอยเชลล์โฮตาเตะฮอกไกโดคุณภาพสูงสับละเอียด แล้วจับนวดให้เข้ากับปลาเนื้อสีขาวตามอัตราส่วนจนได้ความนุ่มเด้งเนียนละเอียดพร้อมกลิ่นหอมละมุนในปากเวลาเคี้ยว ส่วนน้ำซุปใสได้มาจากการเคี่ยวโครงกระดูกของมากุโร่กับสาหร่ายคอมบุเน้นความกลมกล่อมช่วยเสริมรสชาติของลูกชิ้นที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษได้อย่างลงตัว ให้สัมผัสนุ่มนวลภายในปากตอนซดด้วยไข่ไก่นึ่งสุกพอนิ่มราวกับคัสตาร์ตชิ้นเล็กๆสับใส่ลงไปและเพิ่มความหอมสดชื่นด้วยผิวของส้มยุสุกับแตงกวาญี่ปุ่นเคี้ยวกรุบกรอบ โดยรวมเป็นซุปน้ำใสที่มีรายละเอียดปลีกย่อยที่บ่งบอกถึงประสบการณ์อันสูงภายในครัวของเชฟได้อย่างดีเยี่ยม เมนูต่อไปเป็นเหล่าโปรตีนเน้นๆจากเนื้อปลาที่ถูกคัดมาแล้วว่ามีรสชาติดีสุดภายในฤดูกาลนั้นๆก็คือ "Seasonnal Sashimi" ประกอบไปด้วย 1. Katsuo หรือปลาโอสดตระกูลเดียวกับมากุโร่เอามาย่างถ่านพอให้ข้างนอกสุกเกรียมด้านในสีแดงสดให้สองสัมผัสในคำเดียว 2. Kinmedai หรือปลากะพงแดงตาโตเป็นราชาแห่งปลาทะเลน้ำลึกจุดเด่นอยู่ตรงหนังสีแดงสดเด้ง/รสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นไขมันหอมเฉพาะตัว 3. Isaki หรืออิซากิเป็นปลาเนื้อขาวตัวแทนแห่งฤดูร้อนของดีประจำเมืองชิซึโอกะซึ่งมีจุดเด่นตรงเนื้อแน่นหวานเด้งสู้ฟันแบบเดียวกับที่ผสมในลูกชิ้นโฮตาเตะจานที่แล้ว ทานคู่กับโชยุผสมขิงขูด-วาซาบิและล้างคาวให้หมดจดด้วยยำต้นหอมซอยสูตรพิเศษแทนขิงดองน้ำผึ้งแบบที่เสิร์ฟในร้านซูชิก็อร่อยดีไปอีกแบบครับ
จานต่อไปก็ยังคงเป็นปลาแต่เสิร์ฟในรูปแบบของสเต๊กชิ้นใหญ่เคี้ยวฉ่ำเต็มก็คือ "Amadai Negi Sauce" เป็นเนื้ออามะไดหรือปลาไท่เนื้อหวานเต็มไปด้วยน้ำและไขมัน โดยเชฟได้แยกส่วนหนังออกไปทอดก่อนแบบไม่ขอดเกล็ดให้มีสีเหลืองทองสวยงามส่วนเนื้อเอาไปย่างบนเตาถ่านให้ได้ระดับความสุกและรักษาความชุ่มฉ่ำของเนื้อเอาไว้อย่างครบถ้วนด้วยประสบการณ์ในครัวชั้นสูง จากนั้นนำทั้งสองส่วนมาประกอบร่างกันวางบนซอสสีเขียวสัมผัสเข้มข้นทำจากต้นหอมญี่ปุ่นรสหวานเค็มกลมกล่อมแต่ไม่เหม็นเขียวเพราะถูกกำจัดออกไปจนหมดในความร้อน เสิร์ฟพร้อมกับรากบัวทอดกรอบราวกับขนมขบเคี้ยวและเมล็ดถั่วปากอ้าต้มในกาแฟให้ความหวานปนขมราวกับขนมเพื่อเตรียมเข้าสู่จานหลักเมนูถัดไปอันแสนเย็นสดชื่นก็คือ "Hanamaki Uni Inaniwa Udon" เป็นเส้นอูด้งที่เรียวเล็กพิเศษจากจังหวัดอาคิตะในประเทศญี่ปุ่น มีจุดเด่นตรงความเหนียวนุ่มหนึบเคี้ยวสู้ฟันและสามารถเข้ากับน้ำซุปแบบใสได้ดีกว่าอูด้งที่ขายในท้องตลาดทั่วไป ลวกให้สุกแล้วบีบน้ำส่วนเกินออกราดซอสโชยุผสมดาชิสูตรเข้มข้นผสมสาหร่ายสดที่มีกลิ่นหอมละมุน เพิ่มความหอมมันให้พิเศษยิ่งขึ้นด้วยเนื้ออูนิสายพันธุ์บาฟุนจากเกาะฮอกไกโดพร้อมตัดเลี่ยนด้วยวาซาบิขูดสดอีกหน่อย โดยเชฟแนะนำให้คลุกแล้วสูดเส้นเข้าไปเสียงดังๆแบบญี่ปุ่นก็จะได้ความอร่อยฟินขั้นสูงสุดครับ
มาต่อกันที่เมนูซุปน้ำใสใช้เฉพาะวัตถุดิบคุณภาพสูงของในแต่ละฤดูกาลอีกชามเพื่อเตรียมลิ้นให้พร้อมก่อนเข้าสู่จานหลักต่อไปด้วย "Wakatake Ni" เป็นสาหร่ายสด/หน่อไม้หวานกรอบจากเมืองคุมาโมโต้/ถั่วลันเตาสีเขียวและไข่ปลาไท่ต้มในซุปใสดาชิรสอูมามิ ความสนุกของชามนี้คือการได้ทานผักต้มรสหวานสัมผัสกรุบกรอบผสมกับความหอมมันของไข่ปลาสุดหอมมันที่ค่อยๆสลายตัวเป็นเม็ดเล็กกระจายภายในปากเคล้าน้ำซุปกลิ่นหอมๆรวมหลากหลายความอร่อยจากธรรมชาติเอาไว้ในชามเดียวได้อย่างลงตัว เมนูต่อไปก็เป็นอาหารทานเล่นที่หากินได้แค่เพียงปีละครั้งเท่านั้นคือ "Hotaru Ika Su Miso" ปลาหมึกโฮตารุหรือมีอีกชื่อว่าปลาหมึกหิ่งห้อยเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเข้าสู่ฤดุใบไม้ผลิอย่างเป็นทางการ ปกติอาศัยอยู่ใต้ทะเลน้ำลึกแต่ทุกๆปีจะมีการปรากฎตัวในน้ำตื้นพร้อมวางไข่และเปล่งแสงสวยงามในคืนเดือนมืดที่อ่าวโทยามะเท่านั้น (ช่วงระหว่างเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม) โดยทางเชฟนำมาลวกให้พอสุกเสิร์ฟให้ทานคู่กับซอสมิโสะปรุงพิเศษสีขาวนวลรสหวานเค็มกลมกล่อม ผสมกับไข่ปลาหมึกสุดมันอัดแน่นเต็มท้องไร้ความเหนียวหนึบติดฟันทานเคียงกับผักสด/ลวกกรุบกรอบๆหลายชนิดช่วยลดความเข้มข้นของมิโสะได้อย่างลงตัว สำหรับคอร์ส 4,000 บาท++ ผมกับแฟนลงมติแล้วว่าเมนูจานนี้อร่อยชวนประทับใจที่สุดทางด้านรสชาติครับ
เมนูที่ผ่านๆมามีแต่ของต้มและย่างแต่จานนี้เป็นการทอดเพียงหนึ่งเดียวในคอร์สนั่นคือ "Wakasaki Gindara Tempura" ทำจากปลาตัวเล็กชื่อว่า Wakazaki ปกติอาศัยอยู่ใต้พื้นน้ำแข็งจึงมีความพิเศษตรงไขมันเยอะและเนื้อแน่นกว่า Shishamo ที่เสิร์ฟในร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป มาพร้อมกับ Gindara หรือเนื้อปลาหิมะสีขาวชิ้นใหญ่เต็มคำชุบด้วยแป้งทอดกรอบบางๆสีเหลืองทองสไตล์เทมปุระเสิร์ฟแบบร้อนๆ สุดท้ายให้ตัดเลี่ยนด้วย Shishito หรือพริกหวานญี่ปุ่นสีเขียวรสเผ็ดอ่อนๆ โดยเชฟเพิ่มรสชาติเค็มกลมกล่อมหอมมันไม่เหมือนใครด้วยไข่ปลาดองเค็มสูตรโฮมเมดขูดให้เป็นผงโรยรอบจานก่อนเสิร์ฟ เวลาจะกินเพียงให้บีบน้ำมะนาวตัดความเปรี้ยวฉุนเปลือกอีกเพียงเล็กน้อยก็อร่อยสดชื่นแบบไม่ต้องเรียกหาน้ำจิ้มเทมปุระเหมือนร้านทั่วไป ระหว่างนั่งเรากำลังเพลิดเพลินกับของทอดทางเชฟก็เตรียม Main Course จานสุดท้ายเสิร์ฟให้ชุดใหญ่เติมได้ไม่อั้นจนกว่าวัตถุดิบจะหมด เริ่มต้นจากข้าวสวยถูกหุงอยู่ในหม้อโบราณชื่อว่า "Niko Maru" จากจังหวัด Shizuoka มีจุดเด่นตรงที่เมล็ดกลมมันวาวนุ่มเหนียวเคี้ยวหนึบแต่กลิ่นไม่หอมเท่าสายพันธุ์โคชิฮิคาริจึงไม่รบกวนรสชาติและสัมผัสของวัตถุดิบคุณภาพดีพิเศษที่จะมากินคู่กันนั่นก็คือ
"Honmaguro Kama Donabe Gohan" หรือข้าวหน้าคางปลามากุโร่ย่างเกลือราดซอสพอนสึ โดยประกอบไปด้วยข้าวสวยหุงใหม่/วาซาบิขูดสด/ชุดผักดองทำจากแครอท-ผักกาดขาวและรากโกโบ ส่วนซุปที่เสิร์ฟในชุดก็จัดเป็นอีก 1 เมนูในคอร์สคือ "Arajiru Miso Soup" เป็นซุปที่ได้จากเคี่ยวกระดูกปลาอย่างยาวนานกว่า 8 ชั่วโมงจนมีความอูมามิซับซ้อนกว่าการใช้แค่ดาชิผสมคอมบุแบบร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปจึงมีความกลมกล่อมล้ำลึกเข้ากับมิโสะสูตรเฉพาะซดร้อนๆคล่องคอดีมาก ทานคู่กับอาหารจานหลักนั่นก็คือเนื้อคางปลามากุโร่ย่างเกลือขูดด้วยช้อนใส่ชามแล้วตกแต่งด้วยหัวไชเท้าขูดกับต้นหอมซอยราดซอสพอนสึ เนื้อคางปลาสัมผัสเด้งสู้ฟันราวกับกำลังทานเนื้อวัวแต่มีกลิ่นไขมันของมากุโร่สุดชุ่มฉ่ำเต็มคำเพิ่มความสดชื่นด้วยหัวไชเท้าผสมพริกป่นราดซอสพอนสึรสเค็ม-เปรี้ยวเข้ากันกับข้าวสวยสายพันธุ์พิเศษเคี้ยวเหนียวหนึบสู้ฟันได้เป็นอย่างดี ถ้ายังรู้สึกไม่อิ่มและเห็นว่ามีวัตถุดิบเหลืออยู่สามารถขอเติมได้จนกว่าจะหมดเกลี้ยงเป็นการปิดท้ายเพื่อเข้าสู่จานขนมหวานของชุดโอมากาเสะราคา 4,000 บาท++ ครับ
ขนมหวานปิดท้ายเสิร์ฟมาเป็น "Japanese Pudding" หรือพุดดิ้งที่ทำมาจากเมล็ดงาดำ โดยเชฟเอามาบดให้ละเอียดแล้วกรองจนกลายเป็นครีมนมและเคี่ยวเป็นเวลายาวนานจนได้ความหอมมันเข้มข้น จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้ทำให้กลายเป็นพุดดิ้งงาดำเนื้อเนียนราวกับเยลลี่ ราดด้วยซอสน้ำตาลเบิร์นไฟจนกลายเป็นคาราเมลหวานปนขมเล็กน้อยด้านบนสุดและท็อปปิ้งผลไม้รสเปรี้ยวอีกนิดด้วยสตอว์เบอร์รี่สายพันธุ์ Amao จากเมือง Fukuoka ซึ่งรสชาติหวานหอมเนื้อแน่นฉ่ำเคี้ยวสู้ฟันเต็มคำสุดๆ มาพร้อมกับนกกระสาตัวเล็กพับจากกระดาษซึ่งมีความหมายว่า "อยากให้ผู้รับเห็นถึงความตั้งใจอันแท้จริงของเชฟทุกคน" เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงความเอาใจใส่อย่างมากของคนญี่ปุ่นถือเป็นการปิดท้ายคอร์สโอมากาเสะ 4,000++ บาทได้เป็นอย่างดี ต่อไปมาเริ่มรีวิวอีกราคากันเลยครับผม
คอร์สต่อไปเป็นโอมากาเสะชุดราคา 7,000 บาท++ เริ่มต้นจากแรกเสิร์ฟมาเป็น "Seasonal Appetizer" มีความคล้ายกับชุดที่แล้วเพราะเมนูพื้นฐานก็คือ "Yaki Goma Tofu" แต่เพิ่มอาหารทานเล่นตามฤดูกาลพิเศษมาให้อีกถึง 3 รายการคือ เมนูแรกทำจากหนังปลาปักเป้าซึ่งเชฟเอาไปนำตุ๋นเป็นเวลายาวนานจนกลายเป็นซุปคอลลาเจนแบบเข้มข้นเทลงในถาดแล้วนำไปแช่เย็นจนจับเป็นก้อนเจลลี่คล้ายๆเมนูขาหมูเย็นของจีน หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมให้พอดีคำท็อปปิ้งด้วยหัวไชเท้าขูดผสมพริกป่นและต้นหอมซอยรสเค็มกลมกล่อมเนื้อเด้งละมุนในปาก ส่วนจานที่สองนั้นได้แรงบันดาลใจมาจากปลาหมึกร้าดองเค็มในร้านอิซากายะ แต่เป็นสูตรที่เชฟทำเองจึงมีความละมุนกินได้ง่ายมากกว่าและเพิ่มความกรุบกรอบสดชื่นด้วยแตงกวาญี่ปุ่น จานที่สามเสิร์ฟมาในถ้วยสีเหลืองประกอบไปด้วยเผือกหัวจิ๋วที่ชื่อว่า Kuwai ที่เชฟนำไปชุบแป้งทอดบางๆกับผัก Nanohana ลวกหวานเคี้ยวกรอบๆและถั่วปากอ้าญี่ปุ่นย่างให้หอมกลิ่นถ่าน ถือเป็นการรวบรวมสุดยอดวัตถุดิบตามฤดูกาลเอามาปรุงให้เป็นเมนูทานเล่นหลายๆอย่างผสมเข้ากับฝีมือของเชฟได้อย่างลงตัวดีทุกเมนู เมนูจานต่อไปในคอร์สที่ยกมาเสิร์ฟคือ "Ankimo Monaka Yuzu Miso" ซึ่งเราได้อธิบายทั้งส่วนประกอบและรสชาติในชุดราคา 4,000 บาท++ไปแล้วเลยจะขอข้ามไปที่หมวดซุปใสญี่ปุ่นกันต่อครับ
น้ำซุปใสสไตล์ญี่ปุ่นใช้วัตถุดิบระดับพรีเมี่ยมชามถัดไปคือ "Asari Sakamushi" เป็นหอยอาซาริหรือหอยลายญี่ปุ่นตัวขนาดใหญ่พิเศษนำเข้าจากเกาะฮอกไกโดเนื้อหวานแน่นเด้งสู้ฟันต้มในน้ำเดือดพร้อมสาเกคุณภาพสูงกับต้นหอมซอย ชามนี้ปรุงรสแค่เกลือเพียงอย่างเดียวแต่อร่อยได้ความอูมามิซดร้อนๆคล่องคอพร้อมได้เคี้ยวเนื้อหอยลายตัวใหญ่คัดพิเศษทุกคำซึ่งไซส์นี้หาไม่ได้จากร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปอย่างแน่นอน มาต่อกันที่ของทานเล่นแปลกใหม่อีกอย่างคือ "Hanawasabi" หรือดอกวาซาบิกรุบกรอบต้มในซุปดาชิเข้มข้นจนฉ่ำน้ำเสิร์ฟมาพร้อมเนื้อปูหิมะหรือซูไวหวานแน่น โรยหน้าด้วยไข่ปลาแซลมอนลูกโตเปลือกหุ้มหนึบสู้ฟันไม่เหมือนใครและท็อปปิ้งปิดท้ายด้วยคัตสึโอะแห้งแผ่นใหญ่ๆให้หลากหลายสัมผัส สำหรับใครที่สงสัยว่าดอกวาซาบิมีรสชาติเป็นอย่างไรก็บอกเลยว่าสัมผัสตอนเคี้ยวเหมือนสายบัวแต่รสชาติอมหวานมีกลิ่นเฉพาะตัวติดปลายจมูกเบาๆจึงเข้ากับวัตถุดิบอื่นๆในถ้วยได้เป็นอย่างดีครับ
เมนูต่อไปเป็นซาชิมิปลาตามฤดูกาลหรือ ""Seasonnal Sashimi" ซึ่งเข้าสู่หน้าใบไม้ผลิแบบนี้วัตถุดิบชั้นสูงที่คนญี่ปุ่นนิยมทานกันก็คือ "ปลาปักเป้า" ทางร้านเอามาแล่ให้เป็นซาชิมิบางๆเรียงกันราวกับกลีบดอกไม้สีขาว ทานคู่กับซอสพอนสึรสเค็มผสมไชเท้าคลุกพริกป่นและต้นหอมซอยละเอียดพร้อมบีบน้ำมะนาวลงไปเพิ่มความหอมเปลือกเปรี้ยวสดชื่น โดยในจานนี้เราจะได้ทานเนื้อปลาปักเป้าถึง 2 รูปแบบก็คือ 1. ซาชิมิแล่สดแบบบางเนื้อแน่นๆเด้งสู้ฟันไม่มีรสชาติได้แต่สัมผัสความหนึบเคี้ยวสนุกไม่เหมือนใครและไม่เหมือนเนื้อไก่อย่างที่จินตนาการเอาไว้ตอนแรกด้วย 2. แบบลวกจิ้มตรงนี้เชฟเลือกส่วนที่ติดเอ็นกับกระดูกอ่อนเพิ่มความกรุบกรอบและเนื้อเมื่อโดนความร้อนแล้วมีการรัดตัวเคี้ยวสนุกกว่าแบบซาชิมิ ทำให้เข้าใจได้เลยว่าทำไมชาวญี่ปุ่นถึงนิยมทานหม้อไฟเนื้อปลาปักเป้าในช่วงฤดูใบไม้ผลิกันนัก เมนูต่อไปถือเป็นของโปรดอีกอย่างที่ผมชอบมากคือ "Unagi Kabayaki" หรือปลาไหลญี่ปุ่นย่างซอสที่ร้านนี้ถึงแม้จะเสิร์ฟแค่ชิ้นเล็กๆ 2 คำแต่บอกเลยว่า หนังกรอบเนื้อฟูไขมันน้อยซึมซับรสชาติของซอสเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมจนอยากจะลงไปนอนดิ้นที่พื้นเพราะมันอร่อยมากกว่าทุกร้านที่เคยลองชิมมาในชีวิต ส่วนเครื่องเคียงที่เสิร์ฟให้ในจานเป็นรากบัวดองเค็มเคี้ยวกรุบกรอบและเมล็ดถั่วปากอ้าต้มในกาแฟจนเข้าเนื้อให้ความหวานปนขมราวกับขนม ช่วยล้างกลิ่นคาวจากไขมันปลาไหลและซอสสุดเข้มข้นภายในปากได้อย่างหมดจดพร้อมที่จะเข้าสู่เมนูจานถัดไปครับ
จานหลักถัดไปสำหรับคอร์สนี้นั่นก็คือ "Hanamaki Uni Inaniwa Udon" ซึ่งเป็นเมนูเดียวกับที่เสิร์ฟในราคา 4,000 บาท++ จึงขอข้ามเรื่องการอธิบายส่วนประกอบต่างๆและรสชาติออกไปเพื่อไม่ให้บทความนี้มีความยาวมากจนเกินไป มาต่อกันที่เมนูที่ใช้วัตถุดิบสุดพิเศษอย่าง "Kinki Nitsuke" เป็นปลาคิงกิตัวแทนแห่งเกาะฮอกไกโดจากธรรมชาติซึ่งสามารถจับได้ในช่วงต้นปีอยู่ในระดับความลึกกว่า 200 เมตรในน้ำเย็นจัดจึงมีไขมันเยอะเนื้อแน่นพิเศษ โดยเชฟได้นำมาปรุงเป็นเมนู "ปลาคิงกิต้มซีอิ๊ว" รสชาติเค็มนำหวานกลมกล่อมเข้มข้นเข้าเนื้อสัมผัสเด้งดึ๋งสู้ฟันหนังหนาเคี้ยวหนึบหอมกลิ่นไขมันอันเป็นเอกลักษณ์คล้ายกับแซลมอนต้มซีอิ๊วที่เรามักคุ้นเคยกัน ซึ่งปลาชนิดนี้ถือว่าเป็นวัตถุดิบสุดหรูที่ไม่สามารถเลี้ยงในกระชังได้จึงหาซื้อได้เฉพาะดีลตรงกับชาวประมงเท่านั้น (แม้แต่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ญี่ปุ่นก็ไม่มีวางขายและให้สั่งกินได้เฉพาะภัตตาคารสุดหรูเท่านั้น) การที่เชฟเอามาเสิร์ฟในคอร์สถือว่าคุ้มค่ามากครับ
เมนูถัดมาเป็นของทานเล่นสำหรับเตรียมพร้อมลิ้นให้เข้าสู่จานถัดไปคือ "Kegani Su" เป็นเนื้อปูขนราคาแพงที่เสิร์ฟมาพร้อมกับสาหร่ายวากาเมะพันแตงกวากับต้นหอมญี่ปุ่นกินคู่กันกับเจลลี่สีส้มทำจากซอส Tosazu ซึ่งมีส่วนประกอบหลายอย่างทั้ง ดาชิ/โชยุ/มิรินและน้ำส้มสายชูหมักจากข้าวให้ความเปรี้ยวเค็มอมหวานสุดอูมามิ เข้ากับเนื้อปูขนรสหวานมันและผักพันสาหร่ายแกะสลักสวยงามในชามเล็กๆนี้ได้เป็นอย่างดีในทุกๆมิติ จานต่อมาก็เป็นวัตถุดิบสุดหรูสมราคากับที่จ่ายไปคือ "Awabi Gindara Steak Kimo Sauce" หรือสเต๊กปลาหิมะญี่ปุ่นเสิร์ฟพร้อมหอยเป๋าฮื้อวางบนซอสตับหอยเป๋าฮื้อผัดเห็ดชิ้นเล็กๆท็อปปิ้งด้วยไข่ปลาแซลมอน วัตถุดิบที่ถูกปรุงเป็นสเต๊กด้านบนสดหวานเนื้อเด้งซอสรสเค็มนัวกลมกล่อมราวกับเป็นครีมพาสต้ามีสัมผัสแตกระเบิดในปากของอิคุระสีส้มลูกใหญ่ๆเข้ากันได้อย่างลงตัว ตอนแรกเราคิดว่าทานเปล่าๆรสชาติน่าจะหนักไปหน่วงหน่อยแต่เชฟคำนวณประมาณซอสกับปลาได้สมดุลดีมากๆจึงรู้สึกอร่อยกำลังดี ถือเป็นการเสิร์ฟวัตถุดิบราคาสูงแบบสุดคุ้มก่อนเข้าสู่เมนูหลักจานสุดท้ายครับ
ตอนที่เชฟเอาก้อนเนื้อขนาดใหญ่ออกมาแล่ตรงหน้าบอกได้เลยว่าใจฟูสุดๆเพราะเรากำลังจะได้ลองชิม "Chita Gyu" นำเข้าจากจังหวัดไอจิซึ่งเป็นวัวที่รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และไขมันดีตั้งแต่หัวจรดหาง โดยเชฟนำมาเสียบไม้ย่างบนเตาให้ด้านนอกสุกกรอบแต่ข้างในสีอมชมพูสวยงามแบบ Medium Rare เสิร์ฟในรูปแบบของข้าวหน้าสเต๊กราดซอสสุกี้ยากี้และไข่ออนเซ็นโรยต้นหอมซอย ทานคู่กันกับข้าวสวยหุงใหม่ในหม้อโบราณสายพันธุ์ "Niko Maru" จากจังหวัด Shizuoka พร้อมวาซาบิขูดแบบสดๆ/ชุดผักดองทำจากแครอท-ผักกาดขาวกับรากโกโบ ส่วนน้ำซุปในชุดก็จัดเป็นอีก 1 เมนูในคอร์สคือ "Arajiru Miso Soup" รสชาติเหมือนกับราคา 4,000 บาท++ ไม่มีผิดและหากเห็นว่ามีเนื้อวัวกับข้าวสวยยังเหลืออยู่ก็สามารถขอเติมได้เรื่อยๆจนกว่าจะอิ่มหรือวัตถุดิบหมดเกลี้ยง ซึ่งเมนูชามนี้มีจุดเด่นก็คือความหอมชุ่มฉ่ำของไขมันและสัมผัสชวนเคี้ยวนุ่มๆไม่ถึงกับละลาย แต่พอเรายิ่งเคี้ยวไปเรื่อยๆมีกลิ่นกับน้ำของเนื้ออันเป็นเอกลักษณ์ไหลเข้ามาในปากอย่างไม่หยุดหย่อนโดยไม่รู้สึกเลี่ยนเลยแม้แต่น้อย ส่วนซอสสุกี้ยากี้ก็มีรสชาติหวานนำเค็มกลมกล่อมเพิ่มความนัวด้วยไข่ไก่ออนเซ็นเนื้อมันไร้กลิ่นคาว ราดลงบนข้าวสวยช่วยให้อร่อยได้เรื่อยๆอย่างไม่มีเบื่อ โดยรวมถือว่าเป็นจานที่เติมเต็มความรู้สึกคุ้มค่าและประทับใจสมกับเงินที่ได้จ่ายไปมากครับผม
ขึ้นชื่อว่าเป็นคอร์สเมนูราคาสูงขนมหวานก็เลยต้องอลังการเป็นพิเศษคือ "Seasonal Fruit And Japanese Pudding" เสิร์ฟมาให้ถึง 2 จาน เริ่มต้นที่ 1. ผลไม้สดแช่เย็นตามฤดูกาล โดยวันนี้ทางเชฟได้คัดเลือกมาพิเศษเป็นส้มสายพันธุ์เบนิมาดอนน่า นำเข้าจากเมือง Ehime มีจุดเด่นตรงที่เนื้อหวานอมเปรี้ยวหอมเคี้ยวฉ่ำราวกับกำลังทานเยลลี่รสส้ม ส่วนสตรอว์เบอร์รี่คัดเลือกมาเสิร์ฟ 2 สายพันธุ์ได้แก่ Awayuki มีจุดเด่นตรงเนื้อสีขาวซึ่งเป็นพันธุ์ที่หายากและราคาค่อนข้างสูงให้รสชาติและกลิ่นที่หอมหวานสุดๆและ Yotsuboshi นำเข้ามาจากจังหวัดมิเอะซึ่งจุดเด่นอยู่ตรงที่เนื้อแน่นหวานกรอบ เอามาเสิร์ฟให้ทานคู่กับเยลลี่น้ำผึ้งที่เชฟได้ผสม Royal Whiskey ลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความหอมหวานทานเย็นๆตัดรสเปรี้ยวและกลิ่นเฉพาะตัวของผลไม้ทำให้อร่อยชวนฝันมากยิ่งขึ้น 2. พุดดิ้งงาดำแบบเดียวกับในคอร์สราคา 4,000 บาท++ แค่เปลี่ยนท็อปปิ้งจากสตรอว์เบอร์รี่ทั้งลูกเป็นครีมสดกินคู่กับเนื้อพุดดิ้งสุดเนียนละเอียดไหลลื่นลงคอไปอย่างง่ายดาย ทานเสร็จครบทุกเมนูแล้วทางหัวหน้าเชฟก็ได้สอบถามความพึงพอใจเราเป็นภาษาไทยซึ่งน้องพนักงานช่วยแปลให้อีกครั้งเพื่อความเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งเป็นการเปิดประสบการณ์ความอร่อยด้วยวัตถุดิบคุณภาพสูงที่หาทานไม่ได้จากร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปผสมกับฝีมือการปรุงอาหารของเชฟชาวญี่ปุ่นระดับแนวหน้าแบบนี้ โดยรวมถือว่าประทับใจเพราะผมลงมติกับแฟนแล้วว่าอร่อยถูกปากทุกเมนูสมกับคะแนนรีวิวที่ได้รับสูงถึง 4.2-4.6 เต็ม 5 ดาว สุดท้ายก็ได้นั่งคุยเล่นกันอีกนิดหน่อยๆจากนั้นบิลก็ถูกเอามาวางบนโต๊ะครับ
ก่อนจะมาสรุปราคาใครที่ดื่มน้ำเยอะมากๆแบบเราทางร้านก็มี "ชาเขียวรีฟีล" ให้บริการแก้วละ 100 บาทเสิร์ฟให้ทั้งแบบร้อนและเย็น โดยเป็นใบชาเขียวจากจังหวัด Shizuoka อันขึ้นชื่อคัดพิเศษมาจากไร่ชาของคุณแม่เชฟโออิชิซึ่งเป็นหัวหน้าของที่นี่นั่นเอง มื้อนี้ผมมาทานกัน 2 คนจ่ายไปทั้งหมด 13,182.40 บาท รวม Vat. 7% / Service Charge 10% เรียบร้อยแล้ว เห็นแค่ตัวเลขในบิลอย่างเดียวอาจจะรู้สึกว่าค่อนข้างแพงแต่เมื่อได้นั่งกินเรื่อยๆพร้อมรับชมการปรุงอาหารอย่างละเมียดละไมของเชฟพร้อมได้ฟังการอธิบายความพิเศษของวัตถุดิบในแต่ละจานที่แม้แต่คนญี่ปุ่นแท้ๆบางคนยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มลอง และนี่ก็คือการทานโอมากาเสะสไตล์ Kappo ครั้งแรกของเราที่บอกได้เลยว่าถ้ามีโอกาสก็จะหาร้านใหม่ๆมารีวิวอีก สำหรับ "Kappo Kazunobu" ภายในโครงการนิฮอนมาชิสุขุมวิท 26 นี้ ก็รับคะแนนความอร่อย-คุ้มค่าไปเลย 5 ดาวเต็มอย่างไม่มีข้อตำหนิติเตียนใดๆทั้งสิ้นเลยครับ 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : เลขที่ 115 โครงการนิฮอนมาชิ ชั้น 2 ซอยสุขุมวิท 26 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กทม. 10110
เปิดให้บริการทุกวันยกเว้นอังคารเวลา 18.00-22.00 น. และ ส.-อา. 12.00-14.30 น. กับ 18.00-22.00 น.
(อาจมีการปรับตามนโยบายของรัฐบาลและรับเฉพาะลูกค้าที่จอง Omakase เท่านั้นไม่รับ Walk In ในทุกๆกรณี)
โทรสำรองที่นั่งก่อนเข้าใช้บริการทุกครั้งที่เบอร์ : 097-872-4444 หรือผ่าน www.kappokazunobu.com
Facebook : www.facebook.com/kappo.kazunobu
สำหรับใครที่อยากทราบประวัติของหัวหน้าเชฟร้าน "Kappo Kazunobu" เราได้รวบรวมไว้ทั้งหมดแล้วดังต่อไปนี้
หัวหน้าเชฟมีชื่อว่า "โออิชิ คัสสึโนบุ" เกิดที่เมืองชิสึโอกะประเทศญี่ปุ่น เริ่มต้นทำงานในร้านอาหารตั้งแต่อายุ 19 ปี
มีประสบการณ์ทำงานด้านเชฟโรงแรมในเครือของ Okura ทั่วโลกเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 25 ปี
1. โรงแรมโอคุระ เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในตำแหน่งผู้ช่วยในครัวเป็นเวลา 5 ปี
2. โรงแรมโอคุระ เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ในตำแหน่งผู้ช่วยเชฟเป็นระยะเวลาถึง 1 ปีเต็ม
3. โรงแรมโอคุระ เมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ในตำแหน่งเป็น Assistant Head Chef นานถึง 10 ปี
4. ร้าน Yamazato โรงแรมโอคุระเพรสทีจกรุงเทพฯ ประเทศไทย ในตำแหน่ง Head Sushi Chef นานถึง 7 ปี
5. ตัวแทนจากโรงแรมโอคุระ ประเทศญี่ปุ่น คิดค้นเมนูให้กับร้าน Yamazato ในงาน Shanghai Expo 1 ปี
6. ปัจจุบันออกมาเปิดร้านเป็นของตัวเองชื่อว่า "Kappo Kazunobu" ในโครงการนิฮอนมาชิ กรุงเทพฯ
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share อวดเพื่อนๆของคุณ
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comments