วันนี้เราได้รับคำเชิญจาก PR ของ "Mahanakhon Eatery" (มหานครอีทเทอรี่) ให้มาถ่ายรูปรีวิวร้านอาหารบาร์และคาเฟ่สุดหรูรวมกัน 7 แบรนด์เอาไว้ในที่เดียว โดยมี Concept สุดพิเศษนั่นก็คือ Cross-Kitchen Dining หรือ สั่งครบจบและจ่ายในที่เดียวไม่ต้องแยกบิลให้เสียเวลา ซึ่งเราสามารถนั่งเสพบรรยากาศ 7 สไตล์ที่แตกต่างกันจากตรงไหนก็ได้ในพื้นที่และสั่งอาหารของร้านอื่นมาทานข้ามกันไปมาได้อย่างไม่มีข้อจำกัด วิธีการเดินทางถ้ามาด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้ปักหมุดมาที่ Mahanakhon CUBE มีลานจอดรถขนาดใหญ่ให้บริการฟรีไม่จำกัดเวลา เงื่อนไขก็คือต้องเก็บใบเสร็จที่ซื้อสินค้าบริการเข้าไปปั๊มตราภายในตึกมหานครเพื่อรับสิทธิ์จอดฟรี 24 ชม. ถ้าเดินทางมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะก็สะดวกเพราะอยู่ใกล้กับ BTS สถานีช่องนนทรีมีสะพานเชื่อมพิเศษเดินเข้าไปถึงด้านในทันที ซึ่งโครงการมหานครอีทเทอรี่นั้นตั้งอยู่บริเวณ ชั้น G ของอาคารมหานครคิวบ์และประตูทางเข้าหลักจริงๆอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างตึกมหานครที่มีความสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทยติดกับบันไดเลื่อนโดยเราจะตั้งต้นจากตรงนี้ครับ
เริ่มจากร้านที่ 1 นั้นก็คือ "เมซอง ดู แวงน์" เป็นไวน์เลาจน์แห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญพิเศษประจำอยู่คอยแนะนำรสชาติของไวน์แต่ละชนิดรวมถึงวิธีการดื่มที่ถูกต้อง มีทั้งไวน์ราคาสูงและหายากมากๆนำเข้าจากต่างประเทศมากกว่า 100 แบรนด์ชั้นนำจากทั่วโลก โดยบรรยากาศภายในร้านก็จำลองมาจากโรงบ่มไวน์ที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสเน้นความมืดมิดแต่หรูหราพร้อมโต๊ะ/โซฟาขนาดใหญ่นั่งสบายพร้อมสำหรับการนั่งเสพรสชาติของไวน์ชั้นสูงได้อย่างแท้จริง ส่วนเล่มเมนูของร้านนี้เราไม่ได้ถ่ายมาเพราะเป็นรายการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ล้วนแต่เราสามารถสั่งกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวน์ที่ประจำอยู่ในร้านได้เลยว่าเราอยากดื่มรสชาติประมาณไหนเป็นพิเศษเดี๋ยวเขายกมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะตามต้องการพร้อมแก้วที่เหมาะสมกับไวน์ชนิดนั้น สายน้ำองุ่นหมักต้องถูกใจสิ่งนี้อย่างแน่นอนครับ
ร้านที่ 2 มีชื่อว่า "อีซี่" จำหน่ายขนมหวานและเบเกอรี่โดยเชฟเปเปอร์ อริสรา จงพาณิชกุล เชฟขนมหวานชื่อดังของประเทศไทยที่พร้อมถ่ายทอดเรื่องราวของขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสให้ออกมาดูน่ารัก-สนุกสนาน เข้ากับร้านสีฟ้าผสมสีน้ำเงินพาสเทลตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์ Luxury ผสมกับพื้นและภาพวาดกราฟิกสมัยใหม่ได้อย่างลงตัวไม่เหมือนใคร ส่วนวิธีการสั่งขนม-เครื่องดื่มต่างๆสามารถเดินมาตรงมาที่ Show Room กระจกหรือสั่งจากเล่มเมนูก็ได้ หน้าแรกจัดอยู่ในหมวดเค้กมูสรูปร่างน่ารักราคาเริ่มต้นที่ 185-450 บาท ต่อกันด้วยเครื่องดื่มสีสดใสราคาเริ่มต้นที่ 135-195 บาท เค้กบรรจุลงกระป๋องกับขนมทานเล่นเคี้ยวเพลินๆราคา 145-425 บาท เค้กวันเกิดก้อนใหญ่ราคา 790-1,290 บาทและครัวซองต์อบใหม่เอาใจสายคาเฟ่ ดูจากเมนูการตกแต่งแล้วคุณผู้หญิงน่าจะรักเลยครับ
ต่อกันด้วยร้านที่ 3 นี้มีชื่อว่า "เอวรีล กูร์เมต์ แอนด์ บอร์ดิเยร์ ซีเล็กชั่น" เป็นศูนย์รวมวัตถุดิบคุณภาพระดับพรีเมี่ยมจากแหล่งผลิตชั้นยอดในประเทศฝรั่งเศสและยุโรปทั้งแฮม/ซาลามี่/ชีสชนิดต่างๆ แบบเดียวกับที่เคยทานมาในโรงแรม-ร้านอาหารชั้นนำในประเทศไทยก็ถูกส่งมาจากร้านนี้เพราะเป็น Supplier รายใหญ่มาเปิดหน้าร้าน เพื่อเป็น Show Room ให้กับลูกค้าทั่วไป-นักธุรกิจได้มาชิมและตัดสินใจซื้อไปทานหรือจำหน่ายต่อในอนาคต โดยเมนูอาหารที่ร้านจะเน้นไปทาง Comfort Food ง่ายๆเอาไว้ทานคู่กับไวน์ การตกแต่งร้านเป็นเคาน์เตอร์ขนาดใหญ่สีดำเข้มในตู้กระจกเต็มไปด้วยวัตถุดิบถูกแขวน-แช่เย็นเอาไว้ชิ้นใหญ่คอยตัดเสิร์ฟแบ่งเมื่อมีคนมาสั่ง ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นโต๊ะให้นั่งมุมเล็กๆแต่หรูหราด้วยพื้นไม้สีเข้มผนังหินอ่อนแผ่นใหญ่ราวกับอยู่ในร้าน Fine Dining แต่เปิดโล่งมีความคล้ายกับอยู่ใต้ชายคาริมถนนในประเทศฝรั่งเศส ส่วนอาหารไม่ได้มีแค่ที่เห็นอยู่ในตู้กระจกเท่านั้นขอเล่มเมนูมาเปิดกันครับ
อย่างที่บอกไปเบื้องต้นแล้วว่าร้านนี้เน้น Comfort Food ทานง่ายเข้ากับไวน์ เริ่มต้นด้วยสลัดต่างๆราคาเริ่มต้นที่ 190-320 บาท แซนด์วิชและฮอทด็อกราคาเริ่มต้นที่ 220-430 บาท เมนูจานหลักกินง่ายมีแค่ 4 อย่างราคาเริ่มต้นที่ 240-890 บาท ซุปสไตล์ฝรั่งถ้วยละ 160-220 บาท Charcuterie หรือ ชาร์คูเตอรี เป็นเนื้อตากแห้ง/ชีส/ผลไม้ต่างๆวางบนบอร์ดไม้สไตล์ฝรั่งเศสมีตั้งแต่ขนาดเล็กราคา 120-299 บาท ไปจนถึงขนาดใหญ่ใส่วัตถุดิบรวมกว่า 5 ถึง 8 ชนิดราคาเริ่มต้นที่ 695-990 บาท พร้อมเครื่องเคียงให้กินคู่กันเป็น Side Dish ราคา 60-110 บาท ไปจนถึงของหวานเป็นโยเกิร์ตต้นตำรับและผสมเลมอนกับผลไม้ราคาถ้วยละ 120 บาท สายชีสต้องหลงรักกับถาดรวมชีส 4 ชนิดและ 6 ชนิดราคา 695-990 บาท สุดท้ายเป็นเครื่องดื่มทั้ง ชา/น้ำเปล่า/น้ำแร่/น้ำแร่อัดแก๊สและน้ำอัดลมราคาเริ่มต้นที่ 40-110 บาท ผู้คลั่งไคล้ Cheese กับ Cold Cut ตัวจริงต้องถูกใจร้านนี้อย่างแน่นอนครับผม
ตามมาด้วยร้านที่ 4 มีชื่อว่า "เอลมาร์" จำหน่ายซีฟู้ดสดใหม่คุณภาพสูงระดับพรีเมี่ยมนำเข้าจากทั่วโลก โดยได้จำลองบรรยากาศทั้งหมดให้คล้ายกับอู่ต่อเรือเก่าๆในหมู่บ้านชาวประมงของประเทศฝรั่งเศส โดดเด่นด้วยบาร์กลางร้านที่ออกแบบราวกับเรือใบขนาดใหญ่จอดเทียบท่าเพื่อขนส่งวัตถุดิบที่เพิ่งจับขึ้นมาจากมหาสมุทรวางเรียงสวยงามบนน้ำแข็งพร้อมติดป้ายราคาแบบเดียวกับแผงตลาดปลาตั้งอยู่ริมทะเล (มีการปรับเปลี่ยนไปในแต่ละวันจึงใช้ป้ายที่สามารถเขียนแล้วลบได้อย่างในรูป) เน้นความปลอดโปร่งโล่งสบายด้วยไฟโทนส้มกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อนราวกับว่ากำลังนั่งทานซีฟู้ดริมทะเลพร้อมรับแสงแดดนวลตา พร้อมชมเชฟประจำร้านปรุงอาหารให้ชมทุกๆขั้นตอนภายในครัวแบบเปิดโล่งไร้ผนังปกปิดแสดงถึงความมั่นใจในคุณภาพของวัตถุดิบและรสชาติในแต่ละจานได้เป็นอย่างดีเลยครับ
เมนูของที่ร้านก็เน้นไปทางซีฟู้ดเป็นหลักเริ่มต้นด้วย คาเวียร์เสิร์ฟละ 15/30 และ 50กรัม มีให้เลือกถึง 3 เกรดราคาเริ่มต้นที่กระปุกละ 1,570-10,285 บาท คาเวียร์ขนาด 5 กรัม เสิร์ฟพร้อมอาหารทั้งหมด 3 เมนู ราคาเริ่มต้น 600-650 บาท หอยแมลงภู่และหอยกาบนึ่งไวน์ขาวราดซอสมะเขือเทศสดราคา 550-680 บาท ซีฟู้ดรวมปรุงสุกจานเล็กกับใหญ่ราคา 2,980-4,895 บาท หอยนางรมทานสดเสิร์ฟเป็นตัวราคา 200-380 บาท หอยนางรมแบบปรุงสุกราดซอสต่างๆราคาเมนูละ 220 บาท หอยนางรมสดแช่เย็นจากภูมิภาคต่างๆทั่วโลกทั้งหมด 8 ชนิด เลือกได้ว่าอยากทานแค่ตัวเดียว-ครึ่งโหล 6 ตัวหรือโหลนึง 12 ตัว ราคาเริ่มต้นที่ 160-3,220 บาท หากไม่ทานของสดก็มีซีฟู้ด-เนื้อย่างเสิร์ฟเป็นจานและต่อ 100 กรัมมาพร้อมซอส 5 ชนิด ราคาเริ่มต้นที่ 285-1,600 บาท เครื่องเคียงไว้ทานคู่กับจานหลักราคา 95-165 บาท เมนูโรล/ข้าวและก๋วยเตี๋ยวพร้อมทานราคา 450-1,070 บาท ซุปสลัดราคา 350-380 บาท จานซีฟู้ดเรียกน้ำย่อยราคา 280-1,070 บาท นอกนั้นเป็นเครื่องดื่มและแอลกอฮอล์ ส่วนใครที่ไม่สะดวกนั่งทานในร้านก็สั่งกลับบ้านหรือช็อปปิ้งสินค้าสำเร็จรูปพร้อมทานนำเข้าจากต่างประเทศได้ที่ตู้เย็นขนาดใหญ่ข้างๆกันก็ได้มีทั้งแยม/โยเกิร์ต/ปลาซาร์ดีนกระป๋องในซอสต่างๆ/Cold Cut/ซอสบรรจุใส่กระปุก/สลัดพร้อมทาน/ขนมปังและเครื่องดื่มแช่เย็น อยากกินอะไรก็หยิบแล้วเดินเข้าไปคิดเงินภายในร้าน "เอลมาร์" ที่อยู่ใกล้กันได้เลยครับ
ส่วนร้านที่ 5 นี้มีชื่อว่า "อิซาเบลล่า อิตาเลียน โรติสเซอรี บาย อันเดรีย" ร้านอาหารอิตาเลียนแห่งใหม่ของเชฟ "อันเดรีย โบนิฟาโช" เจ้าของร้านอาหารอิตาเลียนชื่อดังระดับตำนานเมืองหัวหิน เน้นไปที่เมนูเด็ดอย่างพิซซ่าอบเตาถ่าน-โฮมเมดพาสต้าและไก่อบในเตาย่างสุดพิเศษนำเข้าราคาแพงจากประเทศอิตาลี โดยเน้นเป็นครัวเปิดโล่งเพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นการทำงานของเชฟได้อย่างชัดเจนในทุกมุม ส่วนบรรยากาศภายในเน้นความเป็นบิสโทรคล้ายกับกำลังนั่งทานข้าวภายในบ้านสไตล์ยุโรปย้อนยุคสบายๆ เน้นพื้นไม้สีเข้มกับผนังก่ออิฐแดงพร้อมเฟอร์นิเจอร์สุดหรูให้อารมณ์แบบเดียวกับร้าน Fine Dinning หากใครไม่สะดวกนั่งทานที่ร้านเขามีเมนูอร่อยด่วนอย่าง "พิซซ่าอบเตาถ่าน" เริ่มต้นเพียงชิ้นละ 80 บ. ส่วนรายการอื่นๆจะมีอะไรน่าสนใจบ้างนั้นมาดูที่เล่มรายการอาหารฉบับเต็มกันครับ
หน้าแรกเปิดมาก็เป็นเครื่องดื่มก่อนทั้งน้ำเปล่าบรรจุขวด/น้ำแร่อัดแก๊ส/น้ำอัดลม/ไวน์ชนิดต่างๆและกาแฟแบบอิตาลี ราคาเริ่มต้นแก้วละ 50-490 บาท เมนูเริ่มต้นเรียกน้ำย่อย ราคาเริ่มต้นที่จานละ 120-790 บาท สลัดต่างๆสไตล์อิตาเลียน ราคาเริ่มต้นที่ 320-390 บาท ตามมาด้วย Signature ของทางร้านอย่างพาสต้ามีทั้งแบบเลือกได้ตามใจเฉพาะเส้นกับซอส ราคาจานละ 320 บาท และแบบเชฟจัดให้พร้อมทานราคาเริ่มต้นจานละ 360-990 บาท หน้าต่อไปเป็นพิซซ่าอบในเตาถ่านโบราณมีให้เลือกหลายชนิดราคาชิ้นละ 80-160 บาท แซนด์วิชแบบอิตาลีสอดไส้ 4 แบบราคา 220-260 บาท หน้าสุดท้ายคือไก่อบในเตาชนิดพิเศษครึ่งตัว 490 บาท/เต็มตัว 980 บาท กับเครื่องเคียงต่างๆราคาเริ่มต้นที่ 120-140 บาท ขนมหวานก็มีแพนนาคอตต้า/ทีรามิสุและช็อกโกแลตมูสราคา 280-320 บาท ถือเป็นร้านที่เน้นความอิตาเลียนแท้ๆ-ราคาอาหารเริ่มต้นไม่สูงนักและเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่คิดไว้ช่วงแรกมากครับ
สำหรับใครที่โหยหาอาหารไทยก็ต้องมาร้านที่ 6 นั่นคือ "มีทแอนด์สไปซ์ บาย อนาเธอร์ฮาวด์คาเฟ่" แบรนด์น้องใหม่ล่าสุดมากับแนวคิดพิเศษอย่าง “เวสเทิร์นไทยทวิสต์” เกิดจากการผสมกันระหว่างเมนูอาหารหน้าตาสไตล์ตะวันตกแต่ปรุงรสชาติให้มีความเผ็ดร้อนถึงเครื่องสมุนไพรและจัดจ้านแบบไทยแท้ๆออกมาเป็นจานใหม่สุดโมเดิร์นแปลกใหม่ไม่เหมือนใครตามฉบับของทางร้าน บรรยากาศภายในเริ่มจากผนังตามมุมต่างๆเน้นโทนสีดำ/พื้นปูด้วยกระเบื้องสีขาวและเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์สวยงามทันสมัยผสมความเป็น Street Food แบบไทยอีกเล็กน้อยด้วยเสาไฟฟ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของการนั่งทานอาหารริมทางในบ้านเราได้อย่างลงตัว ส่วนเมนูจะมีอะไรบ้างนั้นไปดูในเล่มกันเลยครับผม
หน้าแรกเป็น Meat Dish หรือสเต๊กแบบฟิวชั่นราคาเริ่มต้นที่ 850-1,950 บาท แซลมอนกงฟีต์ซอสต้มข่ากับวากิลบริยอชเบอร์เกอร์ราคาจานละ 450-480 บาท และซี่โครงแกะย่างเนยปลาร้าราคา 1,050 บาท นอกจากนี้ก็ยังมี Lunch Set สุดพิเศษเลือกได้ 4 ชุดเสิร์ฟทั้งอาหารทานเล่น/จานหลักและขนมหวานราคาเริ่มต้นที่ 390-590 บาท พาสต้ามหาสมุทรช่าช่าช่ากับมีทสไปซ์พอร์คบอลราคาจานละ 250-600 บาท สเต๊กพอร์คชอปย่างซอสโชริโชราคาจานละ 450 บาท นอกนั้นเป็นขนมหวานแบบฟิวชั่นราคาจานละ 160-280 บาท เป็นร้านที่จำนวนเมนูน้อยแต่มีความน่าสนใจทุกจาน เหมาะสำหรับคนที่อยากลองทานอาหารไทยในรูปแบบใหม่ๆถือว่าตอบโจทย์ได้ดีแน่นอนครับ
ร้านสุดท้ายลำดับที่ 7 นั่นก็คือ "ออเทอร์คาเฟ่" เป็นศูนย์รวมกาแฟสด-เครื่องดื่มสุดครีเอทตกแต่งภายในสไตล์มินิมอลผสมลอฟต์และเฟอร์นิเจอร์แบบโมเดิร์น ที่เข้ามีความรู้และใส่ใจในรสสัมผัสของเมล็ดกาแฟคั่วบดชนิดต่างๆจากทั่วทุกมุมโลกประหนึ่งว่าเป็นผู้ช่วยที่จะทำให้เรื่องกาแฟอันซับซ้อนสามารถเข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยความเป็น Coffee Specialty ซึ่งเราจะได้ค้นพบรสชาติของกาแฟที่ตัวเองชื่นชอบ เป็นอีกหนึ่งแหล่งสำหรับพบปะสังสรรค์ให้คอกาแฟตัวจริงได้มาลิ้มลองพร้อมพูดคุยพร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยกันจากอุปกรณ์ชงสุดแปลกใหม่หลากหลายรูปแบบ ส่วนเมนูเครื่องดื่มของร้านนี้จะมีอะไรให้เราสั่งบ้างมาเปิดดูเล่มรายการที่หน้าเคาน์เตอร์กันเลยครับผม
หน้าแรกเป็นหมวด Original ที่ทางร้านคิดค้นขึ้นราคาแก้วละ 150 บาท เมนู Black Coffee แบบเข้มข้นและผสมน้ำให้ดื่มง่ายๆแก้วละ 90-100 บาท กาแฟ Cold Brew สกัดด้วยน้ำเย็นผสมนม/น้ำผลไม้ราคาแก้วละ 110-130 บาท กาแฟบรรจุลงขวด/กระป๋องแบบ Special ราคา 100-165 บาท เมนู White Coffee หรือกาแฟผสมนมกับไอศครีมต่างๆเริ่มต้นแก้วละ 100-150 บาท Signature Series ที่ทางร้านคิดขึ้นมาเองราคาแก้วละ 130-150 บาท เมนูพิเศษเฉพาะสาขานี้เท่านั้นราคาแก้วละ 160 บาท ถ้าใครไม่ดื่มกาแฟก็มี Soda Series จากน้ำผลไม้ต่างๆราคาแก้วละ 110 บาท เมนูที่ไม่ใส่กาแฟอื่นๆก็มีเป็นนมสด/ชาไทย/ชาเขียวและโกโก้ร้อนและเย็น ราคาแก้วละ 80-130 บาท ส่วนหน้าสุดท้ายเป็นขนมหวานมีให้สั่งแค่ 3 เมนูราคาชิ้นละ 65-95 บาท โดยรวมก็ถือว่าราคาปกติสำหรับคาเฟ่ทั่วไปในสมัยนี้ โดยราคาอาหารกับเครื่องดื่มต่างๆทั้งหมด 7 ร้านนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต-ยังไม่รวมกับ Vat. 7% และ Service Charge 10% (ยกเว้นแค่ "ออเทอร์คาเฟ่" ที่เป็นราคาสุทธิแล้ว) ใครที่กำลังรู้สึกว่ายุ่งยากตอนนี้ทาง Mahanakhon กำลังจัดทำเป็น E-Book ให้สแกน QR Code สั่งอาหารได้ง่ายขึ้นเร็วๆนี้ครับ
เมนูจานแรกที่มาเสิร์ฟถูกยกออกมาจากร้าน "เอลมาร์" เรียกน้ำย่อยกันก่อนด้วย "Fresh oysters" หรือหอยนางรมสดแบบครึ่งโหลเสิร์ฟ 6 ตัวราคาแปรผันตามป้ายหน้าร้านโดยวันที่เราเข้าไปราคา 900 บาท แล้วยังสามารถคละกับหอยนางรมชนิดอื่นๆได้ในราคาระดับเดียวกัน ซึ่งทางร้านไม่ได้บอกเราเลยว่านำหอยนางรมจากประเทศอะไรมาขึ้นโต๊ะเสิร์ฟแต่ความเนื้อแน่น/สัมผัสนวลเนียนในปากราวกับครีมรสชาติเข้มข้นไหลลงคอไปอย่างง่ายดาย เดาว่าน่าจะมาจาก 2 น้ำทะเลเพราะมีตัวขอบสีขาว 3 ตัวกับขอบสีดำอีก 3 ตัว (มีความแตกต่างกันแค่เพียงเล็กน้อย) โดยรวมถือว่าคุณภาพสูงทั้งคู่ ทานกับซอสบัลซามิกผสมหอมแดงสับผสมเกลือพริกไทยสไตล์ฝรั่งหรือน้ำจิ้มซีฟู้ดพริกสีแดงแบบไทยแท้ๆก็อร่อยสุดๆ หากอยากสัมผัสกับความสดหวานและรสชาติที่แท้จริงของหอยนางรมก็แค่บีบเลมอนลงไปเล็กน้อยก็ฟินแล้วครับ เมนูต่อไป "Fried Oysters" หรือหอยนางรมญี่ปุ่นชุบแป้งทอดราคา 520 บาท เสิร์ฟมาให้ถึง 5 ตัว เป็นหอยนางรมสดชุบกับเกล็ดขนมปังใส่เครื่องเทศสูตรเฉพาะทอดจนเป็นสีน้ำตาลทองกรุบกรอบแต่ด้านในยังคงความฉ่ำเป็นครีมสุดเข้มข้น ตัดเลี่ยนด้วยทาร์ทาร์ซอสและแตงกวาดองที่ทำให้ทานกี่คำก็ไม่เบื่อเลยครับ
เมนูต่อมาเป็นจากหลักจากร้าน "มีทแอนด์สไปซ์ บายอนาเธอร์ฮาวด์คาเฟ่" เริ่มต้นด้วยเมนูปลาย่อยง่ายๆอย่าง "Salmon Confit in Snow Ocean" ราคา 450 บาท เป็นแซลมอนชิ้นใหญ่ลอกหนังออกก่อนเอาไปตุ๋นในน้ำมันที่เรียกว่ากงฟีต์จนสุกนุ่มชุ่มฉ่ำโดยไม่ทิ้งรสชาติและความหยาบกระด้างของแซลมอนเอาไว้แบบวิธีการปรุงสุกอื่น โดยหนังที่ลอกออกมาก็เอาไปหั่นเป็นชิ้นเล็กๆชุบแป้งทอดกรอบทนนาน ท็อปปิ้งด้วยไข่ปลาแซลมอนที่ให้รสเค็มกับไขมันของปลาแตกระเบิดกระจายในปาก ก่อนทานราดซอสต้มข่าเข้มข้นทำจากกะทิสุดหอมมันปรุงรสให้อมหวานเล็กน้อยลอยด้วยน้ำมันสกัดจากเครื่องสมุนไพรไทยและเปลือกกุ้ง เมื่อทานพร้อมกันกลายเป็นต้มข่าปลาแซลมอนที่ให้สัมผัสแปลกใหม่แต่ถ้าใครไม่ชอบกลิ่นเฉพาะตัวของแซลมอน/มันกุ้งอาจจะไม่ค่อยถูกใจจานนี้เท่าไหร่ครับ เมนูต่อไปถูกยกออกมาจากร้านอาหารอีสานบ้านๆให้ถึงโต๊ะก็คือ "Rib-Eye Khaojee E-Sarn" ราคา 1,150 บาท เป็นเนื้อส่วนริปอายนำเข้าออสเตรเลียย่างสุกแบบ Medium Well (ถ้าใครอยากให้สุกหรือดิบกว่านี้ก็สั่งได้ตามใจ) หั่นมาชิ้นใหญ่หนาเคี้ยวเต็มคำรสชาติและกลิ่นเนื้อจัดจ้านหอมเตาถ่าน เสิร์ฟพร้อมแจ่วปลาร้าเผ็ดกลางกลมกล่อมและข้าวจี่ย่างที่สอดไส้ตรงกลางด้วยน้ำพริกแบบเดียวกับในถ้วย ตัดเลี่ยนไขมันของเนื้อด้วยมะเขือเทศลูกกลมย่างโรยเกลือรสชาติหวานอมเปรี้ยวอีกหน่อยอร่อยลงตัวดีมาก ใครชอบเนื้อวัวย่างจิ้มปลาร้าแบบอีสานสุดนัวต้องชอบจานนี้แน่นอนครับ
จานต่อไปก็ยังคงเป็นเมนูหลักแต่มาจากร้าน "อิซาเบลล่า อิตาเลียนโรติสเซอรี บาย อันเดรีย" เป็น Signature ของทางร้านที่ภาคภูมิใจนำเสนอก็คือ "Italian Style Whole Roasted Organic Chicken" ขนาดครึ่งตัวราคา 490 บาท เป็นไก่อบในเตาพิเศษนำเข้าจากประเทศอิตาลี จุดเด่นของจานนี้ก็คือไก่หนังสุกกรอบสีน้ำตาลทองแต่เนื้อชุ่มฉ่ำบีบแล้วน้ำไหลออกมาไม่หยุด ใต้ผิวหนังไก่และภายในท้องถูกสอดแทรกด้วยเนยผสมเครื่องเทศก่อนเอาไปย่างจนกลิ่นของสมุนไพรซึมซาบเข้าเนื้อในทุกอณูมาพร้อมกับมันเทศ/มันฝรั่งและหอมใหญ่ย่าง ทานคู่กับเลมอนบีบสดๆสไตล์ฝรั่งแท้ๆหรือซอส 3 สูตรเริ่มจากน้ำจิ้มแจ่วอีสานไทยสุดนัว/ซอสบาร์บีคิวอเมริกันและซอสเกรวี่ทำจากน้ำเนื้อและไขมันไก่ต้มผัดกับเนยและแป้งสาลีปรุงรสเปลี่ยนรสชาติไปได้เรื่อยๆไม่มีเบื่อ มาพร้อมกับเครื่องเคียงเลือกได้แค่ 1 จากทั้งหมด 5 รายการคือ 1. มันฝรั่งอบ 2. เฟรนซ์ฟรายส์ 3. มันบด 4. ผักย่าง และ 5. Mixed Salad ราดบัลซามิกและน้ำมันมะกอกสไตล์อิตาเลียนแท้รสเปรี้ยวอมหวาน เสิร์ฟใส่ถาดไม้ขนาดใหญ่มาด้วยกันอย่างที่เห็นครับผม
ของคาวสำหรับนั่งดื่มคู่กับไวน์ชิลๆอย่างสุดท้ายมาจากร้าน "เอวรีล กูร์เมต์ แอนด์ บอร์ดิเยร์ ซีเล็กชั่น" ที่เสิร์ฟ Cold Cut และ Cheese เป็นถาดเมนู "Deluxe Selection Of 5 Cold Cut Small Size" ราคา 695 บาท นี้มีวัตถุดิบพรีเมี่ยมรวมกัน 5 อย่างคือ 1. Classic Dry Sausage หรือไส้กรอกตากแห้งผสมเครื่องเทศสไลด์บางกินง่ายไม่เค็มนัก 2. Homemade Mortadella หรือโบโลนญ่าแบบที่เรารู้จักเนื้อนุ่มสัมผัสเนียนละเอียด 3. Chorizo Iberico De Bellota เป็นไส้กรอกตากแห้งทำจากเนื้อหมูอิเบริโก้ผสมพริกรมควันและกระเทียมมีรสชาติเค็ม-เผ็ดเล็กน้อย 4. Prosciutto Parma Ham 24 Months เป็นแฮมจากเมืองพาร์มาทางตอนเหนือของประเทศอิตาลีที่ถูกตากแห้ง-บ่มเอาไว้นานกว่า 2 ปีรสชาติเค็มนวลกลมกล่อมหอมกลิ่นไขมันหมูเฉพาะตัว 5. Paleta Iberico De Bellota Dop Reserva 2017 เป็นแฮมบ่มตั้งแต่ปี 2017 จากหมูสายพันธุ์พิเศษ Iberico ของสเปนมีรสชาตินุ่มนวลคล้ายแฮมขาหมูแบบร้านอาหารจีนทานง่ายไม่เค็มอย่างที่คิด ชีสอีก 4 ชนิดที่ทางร้านรวมมาในถาดเดียวนั้นก็คือ "Deluxe Selection Of 4 Cheese Small Size" ราคา 695 บาท ประกอบด้วย 1. Truffle Gouda Aop หั่นมาเป็นชิ้นหนารสชาติเค็มสัมผัสเข้มข้นมีกลิ่นเฉพาะตัวกลางๆ 2. Tete De Moine Aop ชีสทรงกระบอกเนื้อแข็งใช้เครื่องจีรอลมาขูดชีสให้เป็นดอกไม้บางๆรสเค็มหอมนุ่มนวล 3. Fourme d'Ambert Aop เป็นชีสเนื้อแข็งรสเค็มมีเชื้อราและกลิ่นรุนแรงเฉพาะตัว 4. Brie De Meaux Aop เป็นชีสสีขาวเนื้อสัมผัสเนียนนุ่มขอบด้านนอกแข็งมีกลิ่นหมักฉุนขึ้นจมูกเล็กน้อย อีกจานก็คือ "Pate En Croute With Foie Gras" ราคา 299 บาท เป็นพายอบชิ้นใหญ่สอดไส้ตับห่าน-เป็ด/เนื้ออกไก่/เนื้อหมูยัดไส้พิสตาชิโอ-แครนเบอรี่และน้ำเชื่อมผสมบรั่นดีเรียงกันเป็นชั้นๆสวยงาม แก้เลี่ยนด้วยพริก/เคเปอร์/แตงกวา/หอมใหญ่ดองและมัสตาร์ต มาพร้อมขนมปังก้อนสีขาวอบเนื้อกรอบนอกสัมผัสเหนียวหนึบฟูหอมกลิ่นแป้งสาลีสไตล์ฝรั่งแท้ทานคู่กับชีส-Cold Cut และตับห่านเข้ากันได้ดีกับทุกเมนูที่นำมาเสิร์ฟ
อาหารสุดหรูก็ต้องทานคู่กับไวน์ชั้นดีจากร้าน "เมซอง ดู เเวงน์" เริ่มต้นจาก "Albert Boxler Pinot Blanc" ปี 2019 เป็นไวน์ขาวรสหวานกลิ่นแอลกอฮอล์เบาบางหอมคล้ายๆน้ำองุ่นดื่มง่ายเข้ากับเมนูซีฟู้ดได้ดี กับ "Gevrey Chambertin Craite Paille" ปี 2019 เป็นไวน์แดงสัมผัสเข้มปานกลางกลิ่นขององุ่นแดงชัดรสอมหวานติดขมที่ปลายลิ้นนิดหน่อยเหมาะสำหรับทานคู่กับสเต๊กเนื้อและ Cold Cut รสเค็ม-กลิ่นค่อนข้างรุนแรง โดยไวน์ทั้ง 2 ชนิดนี้มีผู้เชี่ยวชาญเลือกมาให้ราคาเริ่มต้นแก้วละ 310 บาท ถือว่าสะดวกได้ดื่มที่ถูกใจเหมาะกับมือใหม่แบบเรามากครับ
จานขนมหวานถูกยกออกมาจากร้าน "อีซี่" นั่นคือ "Chilli Crab" ราคา 450 บาท เป็นเมนูที่ถูกนำเสนอในงานประกาศรางวัลมิชลินไกด์ประเทศสิงคโปร์เมื่อปี 2019 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเมนู "ปูผัดพริก" ทำจากมูสรสส้มจี๊ดสอดไส้ครีมและเนื้อมะพร้าวอ่อนทำเป็นรูปทรงก้ามปู ทานคู่กับครัมเบิ้ลน้ำตาลมะพร้าว/ซอสคาราเมลผสมกาแฟและเจลรสพริกเผาผสมมะเขือเทศกับเกล็ดไข่เค็ม ตักเอาทุกๆอย่างให้อยู่ภายในคำเดียวกันจะได้ความหวานหอมมันจากกะทิ-เผ็ดฉุนขึ้นจมูก-เค็มตัดขมได้อย่างลงตัว ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่หาไม่ได้จากร้านของหวานปกติตามห้างทั่วไปอย่างแน่นอน ใครอยากมาลองความซับซ้อนชวนค้นหาแบบนี้ยังไงก็ต้องมาที่ "มหานครอีทเทอรี่" ครับ
ปิดท้ายด้วยกาแฟคุณภาพดีจากร้าน "ออเทอร์คาเฟ่" เสิร์ฟมา 2 เมนูนั่นคือ "The Cube" และ "The Cloud" ราคาแก้วละ 160 บาท เริ่มจากนำเอสเปรสโซ่แช่เย็นให้เป็นก้อนน้ำแข็งใส่นมร้อนลงไปให้ละลายผสมกันอย่างลงตัวกลายเป็นเมนู "The Cube" ไม่หวานแต่หอมมันนมผสมกับกาแฟสกัดกลิ่นหอม-ขมอ่อนๆ อีกเมนูเป็นกาแฟผสมชาเบอรี่รสหวานท็อปปิ้งด้วยฟองนมคล้ายเมฆกลายเป็น "The Cloud" โดยเมล็ดกาแฟที่ทางร้านเลือกใช้ก็หอมคล้ายกับมิกซ์เบอรี่อยู่แล้วจึงเข้ากับชาที่ผสมลงไปและรสหวานอมเปรี้ยวตัดกันได้อย่างสดชื่นลงตัวในทุกๆมิติเลยครับผม
ทานเสร็จทาง PR ให้เราขึ้นไปเดินเล่นกันต่อที่ "Mahanakhon Sky Walk" โดยปกติจะมีค่าบริการวันจันทร์-ศุกร์ราคาคนละ 530 บาท และวันเสาร์-อาทิตย์คิดราคาคนละ 880 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 3 ขวบขึ้นฟรี (แต่ต้องมีผู้ปกครองคอยดูแล) เด็กอายุ 3-15 และผู้สูงอายุมากกว่า 60 ปีจ่ายเพียงคนละ 250 บาท จ่ายเงินเสร็จเดินผ่านจุดตรวจสแกนกระเป๋าแบบสนามบินเพื่อความปลอดภัย ใครอยากมีรูปถ่ายเป็นที่ระลึกก็มีจุดให้ยืนถ่ายรูปพร้อมกล้อง/ฉากและชุดไฟ (คิดค่าบริการเพิ่มเติม) จากนั้นเดินไปขึ้นลิฟต์ที่เร็วสุดในกรุงเทพด้วยอัตราความเร็ว 480 ม.ต่อนาทีเพียงแค่อึดใจเดียวก็มาอยู่ที่ความสูง 292 ม.บนชั้น 74 ของตึก "Mahanakhon" ใจกลางกรุงเทพกันแล้วครับผม
ตรงชั้น 74 นี้เป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศาแบบ Indoor มองผ่านกระจกเปิดแอร์เย็นฉ่ำมองลงมาข้างล่างเห็นถนนสีลม-สาทรไปจนถึงสะพานตากสินซึ่งเป็นทิศตะวันตกได้รับความนิยมในช่วงเย็นๆ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติมักจะรอแวะมาถ่ายรูปกันที่มุมนี้เพราะแสงสีส้มสาดส่องประกายกับตึกอย่างสวยงามมากๆครับผม
นอกจากนี้พื้นที่รอบๆยังมีกล้องส่องทางไกลให้ใช้บริการได้ฟรี/ผลงานศิลปะจากศิลปินที่มีชื่อเสียง/นิทรรศการให้ความรู้เกี่ยวกับตึกมหานคร รวมไปถึงร้านขายของที่ระลึกพร้อมโปสต์การ์ดและตู้ไปรษณีย์สีแดงพิเศษที่สามารถส่งได้จริงตั้งอยู่ เดินชมรอบๆจนครบแล้วให้ขึ้นบันไดเลี่อนไปชั้น 75 เพื่อขึ้นลิฟต์แก้วไปชั้นดาดฟ้ากันต่อเลยครับผม
ก่อนขึ้นมาถึงชั้น 78 ตรงชั้น 75 น้องพนักงานจะถามเราก่อนว่าจะเดินบนพื้นกระจกไหม? เพราะต้องเอาปลอกคลุมรองเท้าติดตัวขึ้นมาด้วยจากนั้นค่อยขึ้นมาที่ดาดฟ้าจุดสูงสุดในกรุงเทพมหานครความสูงนับจากพื้นด้านล่างอยู่ที่ 314 เมตรซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 5 ของเอเชีย รอบพื้นที่เป็นระเบียงกระจกมองเห็นเมืองกรุงเทพได้ 360 องศาอย่างไร้กระจกกั้นให้นั่งชิลเสพบรรยากาศรับลมเย็นช่วงใกล้ค่ำ แต่เรามาบ่าย 2 แดดร้อนมากๆต้องหาที่หลบกันก่อนครับ
ถ้าขึ้นมาแล้วอยากได้เครื่องดื่มเย็นๆแล้วคิดว่าจะซื้อมาจากข้างล่างทางตึกไม่อนุญาตแต่มีขายเป็นบาร์ที่ชั้น 78 นี้ด้วย น้ำเปล่าราคาขวดละ 90 บาท/น้ำผลไม้แก้วละ 180 บาท/น้ำอัดลมกับเครื่องดื่มชูกำลัง 120-180 บาท/ชากับกาแฟเย็นแก้วละ 160-190 บาท/น้ำผลไม้ปั่นแก้วละ 260 บาท ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มีให้เลือกอีกเพียบราคาเริ่มต้นที่แก้วละ 270 บาท ไปจนถึงซื้อทั้งขวดราคา 30,000 บาท อาหารคาวสั่งเป็นกับแกล้มครัวเปิด 17.00 น. เป็นต้นไปจนถึงเที่ยงคืนราคาจานละ 280-480 บาท สั่งมาแล้วก็นั่งดื่ม/กินตามจุดต่างๆที่ทางตึกได้จัดเตรียมไว้ให้ สุดท้ายโซน Sky Walk จะมีพนักงานคอยแนะนำให้สวมปลอกรองเท้า-สวมใส่หน้ากากอนามัยก่อนลงไปเดินบนพื้นกระจกหนา 7 ชั้นรองรับได้สูงสุดถึง 50 คน ซึ่งผมน้ำหนัก 180 กิโลกรัมสามารถลงไปเดินโลดแล่นได้อย่างชิลๆ โดยจุดนี้ไม่อนุญาตให้เรานำมือถือ/กระเป๋าหรือกล้องลงไปถ่ายรูป (น่าจะกลัวทำหล่นใส่พื้นกระจกเป็นรอยเสียหาย) แต่ขอให้น้องพนักงานช่วยถ่ายให้ได้จนกว่าจะได้ภาพสวยจุใจ หากเบื่อแล้วให้ลงลิฟต์ไปที่ชั้น 75 (ตอนแรกไม่รู้ไปรอลิฟต์ที่ชั้น 74 แล้วโดนไล่ขึ้นมาอีกชั้น) แป๊บเดียวลงถึงชั้น 1 ได้อย่างรวดเร็ว-ปลอดภัยดี แต่มีข้อควรระวังเล็กน้อยคือบางคนอาจจะรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อยเพราะลิฟต์ขึ้น-ลงเร็วมากๆยังไงนั่งพักสักเล็กน้อยก่อนเดินเที่ยวต่อจะดีที่สุดครับ วันนี้ประทับใจทั้งอาหาร-วิวสวยจากตึกสูงอันดับ 1 ในกรุงเทพรับคะแนนไป 5 ดาวเลยจ้า 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : Mahanakhon CUBE ชั้น G เลขที่ 96 ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ แขวงสีลม เขตบางรัก กทม. 10500
เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล)
โทร. 02-677-8721 ติดต่อกับทั้ง 7 ร้านอาหารพร้อมกันได้ในเบอร์เดียว
Facebook : www.facebook.com/KingPowerMahanakhon
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share อวดเพื่อนๆของคุณ
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comentarios