เลื่อนหน้าฟีดบนมือถือไปเรื่อยๆก็พบกับโฆษณาร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้านึงที่ดูน่าสนใจก็คือ Moridon X Izakaya สิ่งที่ดึงดูดนั่นก็คือเชฟที่ร้านมีประสบการณ์จาก Fine Dinning จากประเทศออสเตรเลีย โดยซอสภายในร้านมีการปรุงใหม่ด้วยตัวเองทั้งหมดและใช้เทคนิคการปรุงอาหารชั้นสูงมาผสมผสานให้เข้ากับอาหารญี่ปุ่นกลายเป็นรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของทางร้านมีแนวคิดว่า "อาหารญี่ปุ่นที่ไม่ใช่อาหารญี่ปุ่น" ที่สำคัญก็คือเขาขายราคาถูกดูจากรูปรีวิวเก่าๆทางร้านก็ใช้ของคุณภาพดีคะแนนทุกสำนักเฉลี่ยอยู่ที่ 3.8-4.4 เต็ม 5 ดาว เลยจัดการแท็กชื่อชวนคุณแฟนนัดกันมาทานที่ร้านนี้อยู่ภายในซอยสาทร 11 หรือซอยจันทร์ 18/7 วิธีการเดินทางหากมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถจอดรถบนถนนหน้าร้านได้ตลอดยกเว้นเวลา 15.00-19.00 น. (เป็นเวลาห้ามจอด) หรือจอดรถได้ที่ร้านเวกัสสนุ๊กเกอร์คลับใกล้ๆกันคิดค่าบริการชั่วโมงละ 30 บาท หากมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะลง BTS สถานีช่องนนทรีหรือสถานี BTS ที่กำลังจะเปิดในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 64 นี้ชื่อว่า "สถานีเซ็นหลุยส์" ถึงแล้วก็ลงทางออกไปซอยสาทร 11 จากนั้นให้เรียกรถเข้าไปที่ร้านตามจุดปักหมุดใน Google Maps หรือนั่งรถสองแถวจากปากซอยมาลงที่ซอยจันทร์ 18/7 แยก 20 เพียงคนละ 8 บาทเท่านั้น ด้านหน้าร้านนั้นสังเกตได้ง่ายๆเพราะเป็นตึกแถวจำลองให้เหมือนกับบ้านสไตล์ญี่ปุ่นที่ห้อยประดับด้วยโคมไฟสีแดง ป้ายชื่อร้านก็ขนาดใหญ่ทำให้มองเห็นข้าวหน้ากุ้งทอดในชามสีแดงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ได้ตั้งแต่ระยะไกล ข้างๆประตูทางเข้าร้านแปะเมนูเด็ดเอาไว้แต่ที่น่าสนใจก็คือ Omakase แค่ 200 บาท นั่นก็คือจ่ายเงินแล้วลุ้นเอาว่าจะได้เมนูอะไรออกมาทาน ซึ่งเราสอบถามทางร้านแล้วว่าเป็นเมนูตามใจเชฟที่เอาไว้ครีเอทเมนูใหม่ให้ลูกค้าได้สนุกกัน โดยใช้เทคนิคการปรุงพิเศษมาเป็นจานใหม่ที่ไม่มีขายในเล่มเมนูของที่ร้าน ใครอยากเสี่ยงดวงก็ลองดูครับแต่วันนี้เราไม่เอาดีกว่าเพราะอยากทานเมนูที่ List ตามรีวิวคนอื่นมา จะอร่อยมั้ยไปชมกันครับ
เข้ามาภายในร้านบรรยากาศก็คือห้องแถวขนาด 1 ตึก ถึงแม้จะดูเล็กๆแต่ภายในก็ไม่ได้อึดอัด แบ่งโซนเป็นห้องกระจกด้านหน้าทำเป็นครัวที่เชฟหมูเป็นคนทำเองทุกจานไม่มีผู้ช่วย ถัดมาด้านหลังเป็นแคชเชียร์และตู้เก็บวัตถุดิบที่แยกกันกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แช่เย็นแบบร้าน Izakaya ส่วนที่นั่งภายในร้านมีให้บริการอยู่ 7 โต๊ะรองรับได้เพียง 28-30 คน เฟอร์นิเจอร์ที่ร้านใช้โต๊ะโครงเหล็กไม้สีอ่อนพร้อมกับเปิดไฟส่องสว่างทำให้ร้านดูกว้างมากยิ่งขึ้น มาถึงผู้ช่วยของเชฟก็ยกเล่มเมนูอาหารมาวางไว้ให้เราสั่งที่โต๊ะ จะมีอะไรให้ทานบ้างนั้นเรามาเปิดดูไปด้วยกันเลยครับผม
ก่อนที่เราจะสั่งอาหารร้านนี้ทางร้านได้ย้ำความเป็นตัวเองโดยการพิมพ์เตือนเอาหน้าเล่มเมนูว่า Japanese Is Not Japanese นั่นหมายความว่าถึงแม้ชื่อ-หน้าตาอาหารจะเหมือนญี่ปุ่นแต่มันไม่ใช่อาหารญี่ปุ่นนะจ๊ะ เปิดมาหน้าแรกก็พบกับหมวด Snacks หรืออาหารทานเล่นทั้งปีกไก่ทอดราดซอสราคา 150-169 บาท มันฝรั่งทอดที่รูปแบบแตกต่างกันราคา 89-169 บาท นอกนั้นเป็นอาหารทานเล่นสไตล์ญี่ปุ่นทั้ง เกี๊ยวซ่า/ไก่ทอด/เทมปุระ/ของเสียบไม้ทอด/ไข่หวานและพิซซ่าญี่ปุ่นราคา 59-250 บาท หมวดต่อมาคือ Katsu หรือเนื้อสัตว์ชุบเกล็ดขนมปังทอดราคา 139-180 บาท เลือกทานกับซอสที่เชฟปรุงขึ้นเองได้ 2 จากทั้งหมด 12 รายการ หากต้องการเพิ่มคิดราคาซอสละ 20 บาท เพิ่มซุปมิโสะ+สลัด+กิมจิเป็นชุดราคา 49 บาท ถ้ารวมข้าวราคา 65 บาท เพิ่มชาเขียวอีกเพียงแก้วละ 10 บาท ราคาโดยรวมถือว่าถูกกว่าร้านบนห้างแต่เพิ่มความสนุกด้วยการทานกับซอสที่หลากหลายไม่เหมือนใครดีครับ
หมวดต่อมาเป็นเมนู A La Carte สั่งเป็นกับข้าวทั้งทูน่าทาทากิ/สเต็กปลา/สเต็กเนื้อ/ปลาหมึกย่าง/เต้าหู้ย่าง/หมูผัดกับซอสต่างๆราคา 140-380 บาท เพิ่ม Set Menu ได้แบบเดียวกับหมวด Katsu หน้าเมื่อกี้ ส่วนใครชอบทานอาหารญี่ปุ่นแบบจานเดียวจบก็ต้องมาสั่งที่หมวด Donburi ที่มีให้เลือกทั้งหมด 23 เมนู โดยใช้วัตถุดิบที่หลากหลายตั้งแต่เห็ด/ผักรวม/ไก่ทอด/เนื้อผัดซอส/หมูผัดซอส/ปลาย่างไปจนถึงข้าวหน้าปลาดิบสุดหรูในราคาเริ่มต้นที่ 79-350 บาท ตามระดับของวัตถุดิบที่สั่งในแต่ละจานแต่ก็ยังถือว่าถูกเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆที่ขายเมนูเดียวกันอยู่ดี
หน้าต่อมาคือ Kare หรือเมนูแกงกระหรี่อันขึ้นชื่อของทางร้านเรื่องความเข้มข้นราคาเริ่มต้นที่ 109-309 บาท โดยมีท๊อบปิ้งให้เลือกมากกว่า 15 รายการ ยิ่งใส่มากราคายิ่งบวกเข้าไปเรื่อยๆเริ่มที่ 40-250 บาท หน้าต่อไปเป็น Hot Udon ราคาเริ่มต้นที่ 149-329 บาท มีท๊อบปิ้งให้เลือก 9 รายการราคาเริ่มที่ 35-180 บาท แล้วต่อกันด้วยหมวด Cold Soba ราคาเริ่มต้นที่ 120-300 บาท นาเบะหม้อร้อนราคา 179-189 บาท เมนูเส้นแบบผัดแห้งราคา 179-199 บาท สุดท้ายคือสลัดมีให้เลือกมากถึง 9 เมนูราคา 75-159 บาท ตามของคุณภาพวัตถุดิบที่ใส่เป็นท๊อบปิ้ง และอีกอย่างคือ Omakase ตามใจเชฟ 200 บาท คุณจะได้เมนูใหม่ที่ไม่มีในเล่มนี้เหมาะกับคนชอบท้าทายครับ
นอกจากนี้ยังมี Side Dish เป็นของทานเล่นไว้ทานคู่กับอาหารจานหลักราคาเริ่มต้นที่ 20-50 บาท ถ้ามาร้านนั่งดื่มแบบนี้ ก็ต้องคู่กับเครื่องดื่มดีๆที่ร้านนี้ก็มีให้เลือกไม่มากนักแต่คัดมาเฉพาะตัวเด็ด (ไม่ได้ถ่ายรูปแนบมาด้วย) ส่วนน้ำดื่มทั่วไปก็มีทั้งน้ำแร่/น้ำอัดลม/ชามะนาว/ชาเขียว(รีฟีล)/น้ำผลไม้และเครื่องดื่มรสนมเปรี้ยวราคา 20-190 บาท ตอนนี้เราก็ทำการสั่งอาหารไปเรียบร้อยโดยทุกจานถูกปรุงใหม่ๆโดยเชฟหมูที่เป็นเจ้าของร้านนี้ หากใครอยากรู้ว่าคนนี้เขามีความพิเศษอย่างไรแนะนำว่าไปดูที่หน้า Facebook ของที่ร้านเลยครับบอกได้เลยว่าไม่ธรรมดาแน่นอน
เมนูจานแรกมาเสิร์ฟเป็น Signature ของทางร้านคือ "มิลเฟยคัตสึ" ราคา 180 บาท เนื้อหมูส่วนสันคอสไลด์แทรกไขมันละเอียดนำมาซ้อนกันหลายๆชั้น (คล้ายกับชั้นแป้งกรอบในขนมมิลเฟย) ก่อนนำไปคลุกกับเกล็ดขนมปังทอดจนมีสีเหลืองกรอบ ส่งผลให้น้ำเนื้อและไขมันหมูแทรกตัวชุ่มฉ่ำอยู่ตามช่องว่างในแต่ละชั้น ให้ความฟินห์ในการทานที่แตกต่างจากหมูชิ้นใหญ่-หนาตามปกติ วิธีการทานก็แค่บีบเลมอนลงบนหมูทอดร้อนๆหรือทานคู่กับซอสในชุดเราสั่งมา 2 สูตรคือ น้ำซอสมาโยหรือมายองเนสสูตรโฮมเมดไว้ทานคู่กับผักกะหล่ำปลีซอย และทงคัตสึซอสหรือน้ำจิ้มของทอดสไตล์ญี่ปุ่นสูตรต้นตำรับก็อร่อยฟินห์ไม่แพ้ร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าดังๆบนห้างใหญ่ๆเลยแม้แต่น้อยครับผม
เมนูต่อมาเป็นเมนูเส้นผัดร้อนที่เชฟได้ผสมเทคนิคการทำครัวแบบยุโรป เข้าไปก็คือ "ฮอกไกโดยากิโซบะ" ราคา 179 บาท เป็นเส้นยากิโซบะเรียวเล็กคล้ายราเมนผัดกับซอสยากิโซบะรสชาติหวาน-เค็มกลมกล่อมสูตรของที่ร้าน ใส่เครื่องลงไปทั้งแครอท/กะหล่ำปลี/เห็ดแชมปิญอง ก่อนจะเสิร์ฟราดด้วยโฮมเมดมาโย-โรยสาหร่าย/ปลาคัตสึโอะแห้งและท๊อบปิ้งด้วย Poached Egg หรือไข่ดาวน้ำที่เสิร์ฟแบบเดียวกับเมนู Eggs Benedict ทำให้เมนูนี้มีความคล้ายคลึงกันแต่เปลี่ยนจากขนมปังเป็นยากิโซบะแทนถือว่าเข้ากันได้อย่างลงตัวครับผม เมนูต่อไปเป็นจานพิเศษที่ไม่เคยเห็นในร้าน Izakaya ที่อื่นคือ "เห็ดผัดเต้าหู้ย่างราดซอสมิโสะ" ราคา 149 บาท เริ่มจากเห็ดที่ร้านเชฟเขานำไปต้มกับซีอิ๊วให้ได้รสหวานเค็มอมเปรี้ยวนิดๆจนเข้าเนื้ออย่างเข้มข้นได้ความอูมามิรองที่ด้านล่างสุดของจาน เต้าหู้ที่นำมาใช้เป็นแบบแข็งพิเศษ (ตัดด้วยตะเกียบไม่เข้า) นำไปย่างท๊อบปิ้งด้วยซอสมิโสะรสหวานมันสูตรคล้ายๆกับมิโสะหวานจิ้มกับต้นหอมลวกแบบที่คนญี่ปุ่นชอบทาน จากนั้นเบิร์นไฟเพื่อเพิ่มความเกรียมหอมกรุบกรอบและตกแต่งให้สวยงามด้วยการโรยต้นหอมกับงา ส่วนตัวถ้าไม่เคยอ่านรีวิวเก่าๆมาก่อนจะไม่สั่งเมนูนี้เด็ดขาดเพราะหลายๆร้านมักจะทำจืด แต่ที่นี่รสชาติเข้มข้นหวานมันทานกับเห็ดต้มซีอิ๊วอร่อยสุดๆ เหมาะเป็นกับแกล้มชั้นดีเลยครับสำหรับจานนี้
มากันสองคนสั่งแต่อาหารทานเล่นเลยเพิ่มเมนูข้าวมาให้อิ่มท้องยิ่งขึ้นสั่งเป็น "ข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นไข่ออมเล็ตโมริคัตสึ" ราคา 309 บาท ที่เชฟลืมใส่ไข่ออมเล็ตเข้ามาให้ในจานก็เลยให้ใส่จานแยกเล็กๆมาแทน ระหว่างรอก็ชิมแกงกะหรี่ที่ใครหลายๆคนชมในรีวิวต่างๆว่าร้านนี้เขาทำรสเข้มข้นถึงใจกันก่อน บอกเลยว่าเครื่องเทศเขาถึงจริงไม่จกตารสชาติเค็มหวานกลมกล่อมอมเปรี้ยวนิดๆด้วยเนื้อผลไม้ที่ใส่เพิ่มลงไป (ไม่แน่ใจว่าเชฟใช้ผลไม้ชนิดไหน) ใส่เครื่องท๊อบปิ้งมาให้ทานคู่กันอย่างหลากหลายทั้ง หมูสันนอกทงคัตสึทอดกรอบชิ้นโตๆแบบไม่มีชั้นไขมันติดเนื้อเลย จึงทำให้เคี้ยวยากไปหน่อยสำหรับผมแต่ใครที่ไม่ชอบทานเนื้อไขติดมันรับรองว่าถูกใจสิ่งนี้แน่นอน ไก่ทอดคาราเกะที่ร้านก็ใช้ส่วนสะโพกติดหนังปรุงรสให้เค็มอ่อนๆไม่มีกลิ่นขิงแบบร้านญี่ปุ่น (ใครเกลียดกลิ่นขิงก็น่าจะชอบสูตรที่ร้านนี้) เนื้อมีความชุ่มฉ่ำติดกระดูกอ่อนเวลาเคี้ยวนิดๆ ทำให้ทราบเลยว่าเชฟเขาแล่สะโพกไก่มาทำเมนูจานนี้เองไม่ได้ซื้อสำเร็จรูปมาทอดเหมือนหลายๆร้าน ส่วนกุ้งเทมปุระที่ร้านมีการปรุงรสตัวแป้งให้ออกเค็ม-กรอบตัดกับเนื้อกุ้งหวานเด้งด้านในได้อย่างลงตัว ส่วนผักเคียงในชามสีแดงให้ความกรอบหวานแบบเดียวกับร้านข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นเจ้าดัง-สีเขียวเค็มกรุบกรอบเพิ่มสัมผัสแปลกใหม่ให้กับจานนี้ได้อย่างลงตัว ส่วนไข่ออมเล็ตเนื้อนวลเนียนหอมกลิ่นเนยพอทานกับแกงกะหรี่ที่รสชาติเข้มข้นระดับนี้ เหมือนกราฟของกลิ่นกำลังพุ่งขึ้นเพดานแต่ไข่ช่วยดึงลงมาให้นุ่มละมุนดีงามสุดๆครับ
ติดใจสะโพกไก่ทอดคาราเกะของที่ร้านนี้เลยสั่งข้าวหน้ามาอีกเมนูเป็น "ข้าวหน้าไก่นัมบัง" ราคา 109 บาท เป็นข้าวญี่ปุ่นท๊อบปิ้งด้วยกระหล่ำปลีสไลด์วางด้านบนด้วยสะโพกไก่ทอดคาราอาเกะราดซอสทาร์ทาร์สูตรพิเศษและขิงดองสีชมพู จุดเด่นของจานนี้อยู่ที่ไก่ทอดชิ้นใหญ่เคี้ยวเต็มคำทานกับซอสทาร์ทาร์รสเปรี้ยวมันผสมผักดองสับปั่นจนละเอียดกลายเป็นครีมทานคู่กับข้าวสวยและตัดเลี่ยนด้วยขิงดอง แต่ทานไปนานๆค่อนข้างฝืดคอไปหน่อยแนะนำว่าให้สั่งซุปมิโสะมาทานคู่กัน แต่วันนี้เราเอามาทานคู่กับสเต็กเนื้อและสเต็กเต้าหู้อยู่แล้วเลยไม่ได้สั่งมาทานด้วยกันครับ
จานสุดท้ายก็เป็นเมนู Signature ที่หลายๆรีวิวแนะนำให้สั่งมาลองทานนั่นก็คือ "สเต็กเนื้อออสเตรเลีย" ราคา 380 บาท เนื้อวัวที่ใช้เป็นส่วนสตริปลอยน์เลาะไขมันออกติดเอ็นนิดๆแต่รสชาติเข้มข้น นำมาย่างให้สุกกำลังดีระดับ Medium Rare อมชมพูตรงแกนกลางให้ความฉ่ำน้ำเนื้อราดด้วยซอส Cafe De Paris จากเนยที่ใส่เครื่องเทศลงไปมากกว่า 16 ชนิดและ Soy Beurre Noisette หรือเนยสีน้ำตาลผสมกับซอสถัวเหลืองให้ความหอมเค็มผสมกับกลิ่นเครื่องเทศออกมาไม่เหมือนร้านไหน ทานคู่กับมันฝรั่ง-แครอทหั่นเต๋าทอดกรอบและหอมใหญ่ผัดสุกหวานเป็นสีคาราเมลผสมกับข้าวโพด ทานคู่กับสเต็กเนื้อคุณภาพดีให้ความอร่อยที่แปลกใหม่โดยใช้เทคนิคจากร้านอาหาร Fine Dinning แต่ได้รสชาติ-วัตถุดิบคุณภาพเยี่ยมขนาดนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นราคาหลักร้อยต้นๆ ถือว่าประทับใจมากๆ ส่วนใครที่ชอบทานเค็มหน่อยที่โต๊ะมีให้ปรุงแค่โชยุ เครื่องดื่มมื้อนี้ผมสั่งเป็นชาเขียวแบบรีฟีลแก้วละ 30 บาท ความหอมสดชื่นไม่โดดเด่นแต่ก็ดื่มได้เรื่อยๆ นั่งทานไปจนอิ่มก็ได้เวลาเรียกผู้ช่วยเชฟให้มาคิดเงินแล้วครับ
มื้อนี้สั่งอาหารไป 6 รายการพร้อมเครื่องดื่มอีก 2 แก้วรวมราคา 1,366 บาท ไม่มี Vat. / Service Charge มาเพิ่ม ถือว่าราคารับได้เพราะแต่ละจานที่ร้านปรุงออกมาใช้แต่วัตถุดิบคุณภาพดีจริงๆไม่จกตา อีกอย่างเราสั่งมาทานแต่เมนูราคาค่อนข้างสูงแต่ทางร้านก็ยังมีอีกหลายตัวเลือกที่น่าสนใจ-ราคาประหยัดอีกมากมาย เป็นอาหารญี่ปุ่นที่ผสมหลายเทคนิคจากหลายประเทศลงไปในจานเดียวทำให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ดีขนาดนี้ก็รับคะแนนความอร่อยและคุ้มไป 5 ดาวเลยครับ 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : เลขที่ 272 ซอยสาทร 11 หรือ ซอยจันทน์ 18/7 ปากซอยแยก 20 แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กทม.10120
เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 11.00-23.00 น. (เวลา 21.00-23.00 น. ที่ร้านเปิดเป็นเดลิเวอรี่)
โทร. 065-562-3251
Facebook : https://www.facebook.com/Moridon18
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comments