top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนFood Addicts - เสพติดการกิน

รีวิว Muteki กับชุด Omakase Course เสิร์ฟให้ 12-15 เมนูวัตถุดิบระดับพรีเมี่ยม เริ่มต้นแค่คนละ 999++฿

อัปเดตเมื่อ 13 ก.ค. 2566



นั่งเล่นโซเชียลอยู่บ้านเลื่อนอ่านฟีดข่าวในมือถือไปเรื่อยๆก็พบกับ Omakase ราคาน่าสนใจจาก "Muteki" (มูเทกิ) โดยร้านนี้เป็นเครือเดียวกับ "Mugendai" (มูเกนได) ที่เปิดขายอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมี่ยมมายาวนานหลายปี ทั้งสองร้านมีจุดแตกต่างกันนิดหน่อยคือ แบรนด์ใหม่จะเน้นไปทางคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นชวนให้นั่งชิลล์ทานอาหาร-เครื่องดื่มพร้อมฟินห์กับขนมหวานจบในร้านเดียว (ซึ่งตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากกว่า) ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งหมด 5 สาขาได้แก่ 1.ชั้น 3 ในห้าง Central Floresta Phuket 2.ชั้น 6 ในห้าง Central Embassy 3.ชั้น 4 ในโครงการสามย่านมิตรทาวน์ 4.โครงการ The Avenue Ratchayothin และ 5.ตึก Empire Tower ชั้น G ตอนนี้เขากำลังจัดโปรโมชั่น Omakase Course เสิร์ฟ 12-15 คำ ราคาเริ่มต้นที่ 999++บาท กับ 2,500++บาท ตามลำดับ เปิดให้ทานทุกวัน 3 รอบคือ 12.00 น. (เฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์) 17.30 น. และ 19.30 น. โดยต้องจองผ่านไลน์ของทางร้าน @Mutekibkk ก่อนเข้าใช้บริการ ถ้าจอง 6 คนขึ้นไปมีเมนูพิเศษพร้อมลดให้อีก 10% ด้วย แต่โปรฯนี้กำลังจะหมดลงสิ้นเดือนธันวาคม (เฉพาะราคา 999++) ไม่แน่ใจว่าจะปรับราคาขึ้นเป็นเท่าไหร่แต่เท่าที่ได้ดูเมนูปลาที่ทางร้านนำมาเสิร์ฟในคอร์สถือว่าไม่ธรรมดา เลยนัดกับคุณแฟนจองรอบ 17.30 น. มาทานที่สาขาใกล้ๆบ้านกันนั่นก็คือ Empire Tower ชั้น G วิธีการเดินทางหากมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวจอดในตึกฟรี 3 ชั่วโมง (เมื่อมีประทับตราร้าน) ถ้ามาด้วยบริการขนส่งสาธารณะให้ลง BTS สถานีช่องนนทรีเดินข้ามสกายวอร์คมาประมาณ 400 เมตรก็ถึงหน้าร้านแล้ว จุดสังเกตง่ายๆคืออยู่ตรงข้ามกับ Starbucks ใกล้กับวงเวียนจุดจอดรถรับ-ส่ง เปิดป้ายไฟหน้าร้านส่องสว่างมองเห็นได้ชัดเจนจากระยะไกลใหญ่โตแบบนี้แสดงว่ามาถูกแล้วครับ นอกจากเมนูโอมากาเสะที่เราตั้งใจมาทานแล้วยังมีเมนูแบบ A La Carte ที่มีให้บริการทั้งวันอีกด้วย วันนี้ก็ถ่ายรูปเล่มเมนูมาด้วยเผื่อบางคนอยากทราบราคาครับ

ยังพอมีเวลาอีกหน่อยก่อนจะเริ่มทาน Omakase มาดูที่เล่มเมนูหน้าร้านกันก่อนว่ามีอะไรให้ทานบ้าง หน้าแรกก็เป็นรายการสเปเชียลหรือเมนูแนะนำของทางร้านมีทั้งเบอร์เกอร์/ของทอดทานเล่น/ซูชิและซาชิมิราคา 100-2,400 บาท ตามมาด้วยเมนูเรียกน้ำย่อยสไตล์ญี่ปุ่นราคา 60-450 บาท สลัดท๊อปปิ้งด้วยเครื่องและซอสสไตล์ญี่ปุ่นราคา 120-420 บาท ซูชิโรลมากิและเทมากิมีให้เลือกกว่า 22 เมนูราคา 190-900 บาท ซุปมีให้เลือกเป็นแบบใส่กา/ซุปมิโสะหรือซุปพิเศษประจำวันราคา 90-150 บาท เมนูซูชิแบบนิกิริราคาเริ่มต้นที่ 50-580 บาท ซาชิมิเสิร์ฟชุดละ 3 ชิ้นราคา 150-1,700 บาท ชุดซาชิมิขนาดใหญ่ราคา 900-3,200 บาท เนื้อปลาแล่บางเสิร์ฟพร้อมซอสพอนสึเป็นยำสไตล์ญี่ปุ่นราคา 300-350 บาท อาหารจานเดียวสไตล์ญี่ปุ่นราคา 140-600 บาท ข้าวหน้าของดิบสไตล์ญี่ปุ่นมีทั้งหมด 11 เมนูราคาเริ่มต้นที่ 300-1,500 บาท เทมปุระทอดร้อนๆราคา 100-300 บาท เมนูจากเส้นแบบญี่ปุ่นราคา 250-320 บาท เมนูชุดเกล็ดขนมปังทอดราคา 175-710 บาท เมนูย่างเกลือ-ย่างซีอิ๊วราคา 80-600 บาท นอกจากนี้ยังมีขนมอบ/แซนวิช/ซูเฟล่แพนเค้ก/ขนมญี่ปุ่น/ซอฟต์ไอศครีม/กาแฟ/ชา/น้ำผลไม้/น้ำอัดลมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกหลากหลายรายการ เรียกได้ว่าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มานั่งชิลล์ในสไตล์คาเฟ่ได้ครบวงจรครับผม

เดินเข้ามาในร้านถูกตกแต่งด้วยไม้สีอ่อนสลับกับพื้น-กำแพงสีเข้มและการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ถือว่าดูดีมีระดับตามราคาและทำเลที่ร้านตั้ง โดยพื้นที่ภายในร้านถูกแบ่งออกเป็น 4 โซนใหญ่ๆคือ 1.โซนคาเฟ่สำหรับนั่งชิลล์ทำงานหรืออ่านหนังสือใกล้ๆกับครัวเครื่องดื่ม/ขนมหวานและขนมอบของทางร้าน 2.โซนนั่งรับประทานอาหารแบบ A La Carte มีทั้งโต๊ะหรือโซฟาเลือกนั่งได้ตามสบายกระจายอยู่ทั่วร้าน 3.โซนห้องส่วนตัวที่สามารถรองรับได้ 4-12 คนโดยไม่มีเงื่อนไขการใช้บริการขั้นต่ำ 4.โซน Omakase เป็นเก้าอี้บาร์เรียงยาวหน้าเค้าท์เตอร์มองเห็นเชฟปรุงได้ทุกๆขั้นตอน ซึ่งวันนี้เราได้ทำการจองและคอนเฟิร์มผ่านไลน์ของทางร้านมาเรียบร้อยส่วนเชฟก็สแตนบายรอแล้วครับผม

เมื่อมานั่งที่โต๊ะแล้วก็จะพบกับแผ่นรองจาน/จาน/ตะเกียบ/ช้อนและที่รองช้อนวางเรียงกันไว้อย่างสวยงามข้างกันเป็นเล่มเมนูที่ทางร้านจะเสิร์ฟให้กับเราวันนี้มีทั้งหมด 12 รายการในราคา 999++ ราคานี้ไม่รวมเครื่องดื่มเพราะฉะนั้นทางร้านก็วางเมนูเครื่องดื่มเอาไว้ให้เราสั่งเพิ่มได้อีกด้วย มาถึงที่ร้านก็เสิร์ฟเมนูแรกก่อนเลยคือไชเท้าดองกรุบกรอบหวานอมเปรี้ยวกับขิงดองรสหวานฉุนขึ้นจมูกเอาไว้ทานเพื่อล้างคาวปลาในปากให้พร้อมต่อการรับรสชาติปลาในแต่ละคำ แต่ทางร้านก็ไม่ได้ใจร้ายเรื่องเครื่องดื่มขนาดนั้นเพราะมี Peach Sparking ฟรีคนละ 1 แก้ว รสเปรี้ยวอมหวานซ่าหอมกลิ่นพีชละมุนขึ้นจมูกแบบไม่มีแอลกอฮอล์เพิ่มความสดชื่นก่อนจะเข้าเมนูแรก หลังจากแก้วนี้หมดที่ร้านก็มีชาเขียวรีฟิลให้บริการคนละ 55 บาท เราก็สั่งมาเพิ่มอีกเพราะเป็นคนดื่มน้ำเยอะมากแค่แก้วเดียวไม่พอครับ

มาถึงเชฟก็จะทำการแนะนำตัวโดยวันนี้เป็นฝีมือของเชฟจิรศักดิ์เป็นซูชิมาสเตอร์มากประสบการณ์ของที่ร้านนี้จะมาทำซูชิให้เราทานกันครับ ก่อนอื่นวางป้ายด้านหน้าเราเพื่อบ่งบอกราคาของชุดโอมากาเสะที่สั่งกันก่อนตามด้วยผ้าเปียกเย็นๆสำหรับทำความสะอาดมือ (เผื่อบางคนอยากทานด้วยมือ) และผ้าขนหนูอุ่นให้เช็ดเพื่อเพิ่มความสดชื่นก่อนจะเริ่มทานกันครับ โดยวัตถุดิบทั้งหมดที่ทางร้านใช้ในวันนี้ถูกรวบรวมใส่เอาไว้ในกล่องพร้อมจะนำมาปรุงให้เราได้ทานกันแล้ว มีคนทานชุด 15 คำ 2,500 บาทด้วย แต่เราขออนุญาตโฟกัสเฉพาะที่ราคา 999++ ในรีวิวนี้นะครับ

มาถึงวัตถุดิบอย่างแรกก็คือปลามาไดซึ่งเป็นของชั้นสูงราคาแพงแต่ที่ร้านนี้นำมาเสิร์ฟในราคาแค่ 999++ นำมาปรุงเป็นเมนู "Madai Tartare Yuzu" หรือยำซาชิมาปลามาไดซอสส้มยูสุ โดยเชฟจะทำการแล่และเบิร์ฟไฟที่หนังให้กลิ่นของไขมันออกมามากกว่าเดิม ก่อนจะจัดเสิร์ฟลงในชามทรงพิเศษที่ตรงกลางเป็นควันจาก Dry Ice พวยพุ่งออกมาอย่างสวยงามท๊อบปิ้งบนเนื้อปลาด้วยคาร์เวียร์และทองคำเปลว วิธีการทานสามารถทำได้ 2 แบบคือซาชิมิไม่ต้องจิ้มโชยุเพื่อรับรสความหวานมันนวลเนียนไขมันฉ่ำๆมีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์พิเศษของปลาชนิดนี้ตัดรสเค็มด้วยไข่คาร์เวียแตกในปาก หรือจะทานกับคู่ยำสาหร่ายสดกรุบกรอบคลุกด้วยน้ำส้มยูสุรสหวานหอมอมเปรี้ยวนิดๆเพื่อเพิ่มความสดชื่นก็ได้ ระหว่างนี้เชฟก็บอกความพิเศษของปลาชนิดนี้ไปเรื่อยๆตามใบแขวนที่วางไว้บนโต๊ะหน้าเราครับผม

เมนูต่อมาชื่อดูธรรมดาแต่มีการจัดเสิร์ฟที่ค่อนข้างแปลกใหม่คือ "Ika Sashimi" โดยปลาหมึกที่ทางร้านใช้นั้นเรียกว่า Sumi-Ika หรือที่บ้านเราเรียกว่าหมึกกระดองจุดเด่นของวัตถุดิบชนิดนี้คือมีความกรุบกรอบเนื้อเยอะเคี้ยวเต็มคำมากกว่าหมึกกล้วยซาชิมิที่เราทานมาหลายๆร้านที่สำคัญคือฤดูนี้เป็นช่วงที่อร่อยสุดๆ เชฟนำมาแล่เป็นเส้นให้คล้ายๆกับอูด้งก่อนจะลนด้วยไฟให้พอปลาหมึกม้วนตัวเล็กน้อยแต่ยังคงความฉ่ำเอาไว้เหมือนเดิม เสิร์ฟในถ้วยจิ๋วที่มี Dry Ice อยู่ด้านล่างแล้วจะราดน้ำให้ควันพวยพุ่งและทำการปิดผนึกด้วยฟองสบู่ก่อนจะยกมาให้พร้อมทาน เรามีหน้าที่แค่ใช้ปลายตะเกียบจิ้มฟองสบู่ให้แตกก่อนจะคีบเนื้อหมึกเย็นๆที่อยู่ด้านในออกมาทาน เนื้อหวานแน่นกรอบที่สีไม่สวยเพราะเชฟได้นำเนื้อไปนวดและบ่มจนได้รสชาติเข้มข้นออกมาอย่างสูงสุด ทานคู่กับวาซาบิดองและสาหร่ายสดเพิ่มความกรอบฉุนสดชื่นให้เมนูนี้ได้เป็นอย่างดี ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในการทานปลาหมึกที่รสชาติอร่อยไปอีกแบบ ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าปลาหมึกต้องทานแบบตัวขาวใสเหมือนเพิ่งขึ้นมาจากทะเลเท่านั้นจึงจะได้ความอร่อยสูงสุด แต่เชฟได้นำมาผ่านกระบวนการพิเศษจนได้รสชาติออกมาอีกแบบถือว่าแปลกใหม่สำหรับผมมากครับ

เมนูต่อมาคือวัตถุดิบที่หลายๆคนคุ้นเคยกันอย่าง "Hamachi" แน่นอนว่าเชฟนั้นได้นำมาบ่มเพื่อกำจัดกลิ่นคาวเลือดและรีดไขมันส่วนเกินออกบางส่วนก่อนจะนำมาปรุงเป็นนิกิริซูชิ สอดไส้ใต้ข้าวด้วยวาซาบิสดขูดใหม่ที่ให้รสเผ็ดสดชื่นอ่อนๆจนแทบไม่รู้สึก(หากใครชอบทานเผ็ดอีกหน่อยก็บอกให้เชฟทาเพิ่มได้อีก) ข้าวปรุงรสชาติมาหวานละมุนปั้นเรียงเป็นเม็ดสวยงามก่อนจะวางด้วยเนื้อปลาฮามาจิทาโชยุบางๆแล้วท๊อบปิ้งด้วยคาร์เวียร์และยูสุเยลลี่ให้รสชาติครบจบในคำเดียว ได้ทั้งความหวานนุ่มจากข้าวซูชิเข้ากันได้ดีกับความหอมมันของปลาผสมรสเค็มอ่อนจากคาร์เวียร์แตกในปากตามด้วยกลิ่นของยูสุหอมละมุนแต่ไม่รบกวนรสธรรมชาติของฮามาจิอีกทั้งยังช่วยส่งเสริมให้อร่อยลงตัวมากยิ่งขึ้น ใครเคยทานฮามาจิแบบซาชิมิตามร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไปแล้วรู้สึกว่าไขมันที่แทรกตาเนื้อเยอะเกินจนเลี่ยนแถมมีกลิ่นเฉพาะตัวผสมคาวเลือดทานแล้วไม่อร่อย มาลองคำนี้รับรองว่าต้องเปลี่ยนความคิดอย่างแน่นอนครับผม

เมนูต่อมาก็เป็นวัตถุดิบธรรมดาๆที่ทางร้านนำมาเสิร์ฟในรูปแบบใหม่คือ Shime Saba หรือปลาซาบะดองร้านนี้ได้นำมาทำเป็น "Smoked Saba" หรือซูชินิกิริหน้าซาบะดองรมควัน แน่นอนว่าเชฟเขาก็ต้องดองปลาด้วยตัวเองก่อนจะนำมาหั่นชิ้นหนาให้ติดหนังวางบนข้าวซูชิใส่วาซาบิขูดสดด้านใน ก่อนจะโรยด้วยกลีบดอกเบญจมาศสีเหลืองและขิงขูดนำไปรมควันด้วยเศษไม้โอ๊กเผาพ่นเข้าไปในภาชนะกักเก็บกลิ่นให้อบอวลอยู่ภายในก่อนจะนำมาเสิร์ฟ วิธีการทานเพียงแค่เปิดแก้วที่ครอบออกก็จะได้ทานซูชิหน้าปลาซาบะดองรสเปรี้ยวเค็มอ่อนๆและเนื้อแน่นชุ่มไปด้วยไขมันเข้ากันได้ดีกับข้าวซูชิรสหวาน ตัดความเลี่ยนด้วยขิงสดขูดรสเผ็ดอ่อนๆพร้อมกลิ่นควันจากไม้โอ๊กที่ดูดซึมเข้าไปให้ความรู้สึกคล้ายกับเบคอนหรือแฮม เป็นการผสมผสานในรูปแบบใหม่ได้อย่างลงตัวไม่เหมือนร้านไหนมาก่อนครับ เมนูต่อไปก็เป็นวัตถุดิบที่ไม่พิเศษแต่ทางร้านได้เพิ่มกระบวนการเข้าไปก็คือ "Engawa" หรือครีบปลาฮิราเมะ (ปลาตาเดียว) ที่ทางร้านนำไปบ่มเพื่อให้ไขมันส่วนเกินออกไปเหลือแต่ความเด้งกรอบพร้อมไขมันที่อัดแน่นเตรียมแตกตัวระเบิดในปาก ตัดเป็นชิ้นวางลงบนข้าวซูชิเสิร์ฟแบบนิกิริก่อนจะเบิร์นด้วยไฟจนมีกลิ่นหอมแล้วทาด้วยซอสพอนสึรสเปรี้ยว-เค็มเพื่อตัดความเลี่ยนและให้ความสดชื่นด้วยไชเท้าขูดผสมพริกป่นและต้นหอม ได้ทั้งความหอม/หวาน/มันเค็มเปรี้ยวครบรสในคำเดียวกัน ที่สำคัญก็คือไม่มีไขมันจากเอนกาวะไหลออกมาจำนวนมากจนเคลือบจานกับข้าวซูชิก่อนจะเข้าสู่ปากเหมือนที่เคยทานร้านอื่น ถ้ากลัวว่าจะเลี่ยนเกินจนรู้สึกหยึยๆวลาเคี้ยวอยู่ในปากที่นี่ไม่มีแน่นอนครับ

เมนูต่อไปใช้วัตถุดิบราคาแพงคุณภาพสูงที่ไม่ค่อยเสิร์ฟในร้านซูชิทั่วไปคือ "Kuruma Ebi" หรือกุ้งลายเสือนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นเป็นตัวขนาดใหญ่โตเต็มวัย โดยก่อนนำเป็นนิกิริซูชิทางเชฟได้นำไปต้มด้วยกระบวนการพิเศษทำให้เนื้อแน่นเด้งสู้กรามทุกครั้งเมื่อฟันกระทบกับตัวกุ้ง น้ำเนื้อกุ้งหอมตามธรรมชาติผสมกับความหวานของข้าวซูชิที่ถูกปาดด้วยวาซาบิสดคุณภาพสูงจุดบนสุดทาโชยุบางๆแค่พอให้ดึงรสชาติของกุ้งออกมาได้ดียิ่งขึ้น ส่วนตัวผมเคยทานกุ้งลายเสือของไทยบอกได้เลยว่าเนื้อเด้งพอๆกันแต่ความฉ่ำของญี่ปุ่นนี่กินขาด ถือเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบที่ควรค่าแก่การมาทานครับ เมนูต่อมาเป็นวัตถุดิบราคาไม่แพงแต่หาทานอร่อยได้ยากคือ "Aji" หรือปลาสีกุนที่ร้านนี้ใช้เกรดนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น (หลายๆร้านที่เคยทานมาส่วนใหญ่เป็นปลาในไทย) จึงทำให้ได้ความแตกต่างก็คือปริมาณไขมันในชั้นเนื้อที่แน่นและเนื้อเด้งสู้ฟันกว่าเนื่องจากกระแสน้ำที่รุนแรงและเย็นจัดของประเทศญี่ปุ่น เชฟนำมาแล่/ลอกหนังออกวางบนซูชิเสิร์ฟแบบนิกิริทาด้านบนบางๆด้วยโชยุ ท๊อบปิ้งด้วยขิงสดขูดอีกเล็กน้อยพร้อมเสิร์ฟแบบไม่ต้องผ่านกระบวนการปรุงหรือบ่มอะไรมากมายก็สามารถสัมผัสความอร่อยของเนื้อปลาอาจิได้อย่างเต็มคำ ทั้งหวานมันเด้งสู้ฟันฉ่ำไขมันปลาผสมกับข้าวซูชินุ่มๆปั้นมาเรียงเมล็ดหอมขิงสดขูดช่วยกำจัดกลิ่นคาวในปากอย่างหมดจดครับ

เมนูต่อมาก็เป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบราคาแพงคือ Honmaguro หรือปลาทูน่าครีบน้ำเงินนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ที่ร้านได้นำเข้ามาทั้งตัวก่อนจะตัดแบ่งเป็นส่วนๆในครัวหลังร้านก่อนจะกระจายไปยัง Muteki สาขาต่างๆทั่วกรุงเทพฯ นั่นหมายความว่าถ้ามาทาน Omakase ที่ตึก Empire Tower ชั้น G นี้ก็จะได้ทานวัตถุดิบสดใหม่ที่สุด ชิ้นส่วนของปลาที่ร้านนำมาปรุงในคอร์ส 999++ เป็น Akami หรือเนื้อแดงล้วนที่มีปริมาณไขมันน้อยสุดของทูน่าครีบน้ำเงิน ทำออกมาเป็น "Honmaguro Akami Yuzu Caviar" จุดเด่นของมากุโร่ที่ร้านนี้คือมีการ Dry Aged ทำให้มีรสชาติของเนื้อเข้มข้นขึ้นและเนื้อนุ่มละเอียดเพราะไล่ความชื้นกับไขมันส่วนเดินออกในกระบวนการนี้ ให้รสชาติและสัมผัสที่ต่างจากปลาที่ฟรีซหรือเกรดเดียวกันกับร้านบุฟเฟ่ต์ ก่อนจะนำมาแล่และปั้นเป็นนิกิริซูชิใส่วาซาบิสดไว้ใต้เนื้อปลาท๊อบปิ้งด้วยคาร์เวียร์และเยลลี่ส้มยูสุ แต่ความสวยงามยังไม่หมดแค่นี้เพราะก่อนทานเชฟสเปรย์ด้วยน้ำส้มยูสุผสมกากเพชร Food Grade (แบบเดียวกับที่ใช้ใส่ในช็อกโกแลตสีสวยๆ) ช่วยเพิ่มความแวววาวและหรูหราขึ้นไปอีกขั้น เวลาทานจะได้ความหวานเนียนของเนื้อปลาผสมกับข้าวซูชินุ่มๆผสมกับน้ำส้มยูสุหอมๆและคาร์เวียร์เค็มอ่อนๆแตกในปากเรียกได้ว่าสวยงามทั้งและรสชาติ หมดเมนูซูชิ-ซาชิมิแล้วหลังจากนี้ก็จะเข้าสู่ของทานเล่นและขนมหวานครับ

ของทานเล่นปิดท้ายเมนูแรกคือ "Kani Miso" หรือมันปูซูไว(ปูหิมะญี่ปุ่น) โดยเมนูนี้เชฟจิรศักดิ์ได้นำทักษะมาจากร้านอาหารระดับมิชลิน 1 ดาว (ขอสงวนชื่อร้านถ้าอยากรู้ไปถามเจ้าตัวเอาเอง) มาทำเป็นเมนูพิเศษนี้ เริ่มต้นนำมันปูจากกระดองของซูไวมาผสมกับข้าวสวยญี่ปุ่นวางบนกระดองก่อนจะท๊อบปิ้งด้วยเนื้ออกปูและย่างเตาถ่านจนมีกลิ่นหอมไหม้นิดๆติดที่ข้าว รสชาติที่ได้ก็คือข้าวคลุกมันปูรสเค็ม-มันหอมกลิ่นถ่านและกระดองย่างเพิ่มสัมผัสเด้งๆหวานด้วยเนื้ออกปูซูไวคุณภาพดีสมกับเป็นเมนูพิเศษที่ได้มาจากร้านระดับมิชลินสตาร์ ของคาวจานสุดท้ายเป็นเมนูซุปที่เบสคือกระดูกปลามาไดต้มผสมกับคอมบุจนได้รสอูมามิตามธรรมชาติใส่เห็ดหอม/ต้นหอมญี่ปุ่นกับเนื้อปลาฮามาจิออกมาเป็น "Shiromi Soup" ซดคล่องคอเต็มไปด้วยรสชาติของซุปปลาทานคู่กับเนื้อปลาชิ้นใหญ่อร่อยลงตัว

สุดท้ายเข้าสู่เมนูของหวานในคอร์ส 999++ นี้เสิร์ฟให้ถึง 2 เมนูก็คือ "Katsutera" หรือขนมคาสเทลล่าสไตล์ญี่ปุ่นที่มักจะเสิร์ฟในคำสุดท้ายของ Omakase เกือบทุกที่ มีความนุ่มฟูเหมือนกับขนมไข่ของไทยแต่ชุ่มฉ่ำหอมกลิ่นไข่ไก่ตามธรรมชาติมากกว่าปรุงรสหวานอ่อนๆทานแล้วไม่ฝืดคอตัดมาเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมจตุรัสความหนากำลังดีพร้อมกับประทับตรา Mugendai ด้านบนมาอีกด้วย ตามมาด้วยของหวานเย็นชื่นใจอย่างสุดท้าย "Hokkaido Matcha Soft Cream" เป็นซอฟต์ไอศครีมนมฮอกไกโดมีให้เลือก 2 รสชาติได้แก่ชาเขียวมัทฉะและนมฮอกไกโด วันนี้ผมมากัน 2 คนก็สั่งทานคนละ 1 ถ้วยเสิร์ฟมาในผอบแก้วและช้อนทองดูหรูหรา ส่วนรสชาตินั้นบอกเลยว่าอร่อยหวานมันทั้งคู่แต่ละลายเร็วมากๆ (หมายความว่าไอศครีมของที่ร้านนี้ไม่ใส่สารทำให้คงตัว) ส่วนตัวชอบทั้ง 2 รสชาติเลยครับ

มื้อนี้มากัน 2 คนทาน Omakase ชุดคอร์ส 12 เมนู 999++ และชาเขียวรีฟีลอีกคนละแก้วราคารวม Vat. 7 % และ Service Charge อีก 10% ทั้งหมด 2,481.12 บาท ความอิ่มอยู่ในระดับกำลังดีพอๆกับทานชุดซูชิ 10 ชิ้น แต่วัตถุดิบที่นำมาเสิร์ฟในคอร์สนี้บางอย่างหาทานไม่ได้จากร้านอาหารญี่ปุ่นทั่วไป อีกทั้งเชฟยังมีการใช้เทคนิคพิเศษทำให้วัตถุดิบธรรมดารสชาติก้าวขึ้นไปอีกขั้นได้อย่างน่าตกใจ สำหรับวันนี้ร้าน Muteki (มูเทกิ) ก็ได้รับคะแนนความอร่อยและคุ้มค่าไป 5 ดาวเต็มเลยครับผม 🌟🌟🌟🌟🌟


ก่อนกลับน้องพนักงานที่ร้านแนะนำว่าช่วงปีใหม่ถ้าไม่ได้ไปฉลองที่ไหนทางร้านได้จัดโซนใหม่เป็น Outdoor ให้นั่งดื่มรับลมธรรมชาติเย็นๆพร้อมชมวิวถนนสาทรได้ นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นเครื่องดื่มราคาพิเศษอีกด้วย (หากใครสนใจก็สอบถามทางร้านเอาเองนะครับ) และมื้อนี้เราทานครบ 2,000 บาท มีสิทธิ์จับฉลากลุ้นของขวัญพิเศษมูลค่ารวมกว่า 100,000 บาทอีกด้วย รางวัลก็มีทั้งกระติกน้ำ/กล่องใส่ของขนาดเล็ก/หมอนรูปหมี (อันที่จริงมีเยอะกว่านี้แต่โดนจับสลากไปเกือบหมดแล้ว) วันนี้เราจับสลากก็ได้กระติกน้ำเก็บความร้อน-เย็นขนาดเล็กกลับบ้าน 2 อัน ใครอยากจะมาทานอาหารแล้วได้ลุ้นแบบนี้มีจัดแค่ 2 สาขาคือตึก Empire Tower ชั้น G และโครงการ The Avenue Ratchayothin จนถึงวันที่ 4 ม.ค. 64 นี้เท่านั้น ส่วนรายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติมไปดูที่ Facebook ของที่ร้านนะครับ

พิกัด : ตึก Empire Tower ชั้น G เลขที่ 1 ถนนสาทรใต้ แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120

เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 10.00 - 22.00 น. โทร. 085-365-2222

Facebook : https://www.facebook.com/mutekibkk

อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน

แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <

และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘



ดู 2,021 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page