สำหรับสายชอบทานเนื้อย่างยากินิคุตัวจริงต้องรู้จักร้านนี้เพราะกำลังเป็นกระแสและเพิ่งเปิดไม่นานย่านพญาไทนั่นก็คือ "Red Panda Yakiniku" มีจุดเด่นอยู่ตรงที่เสิร์ฟเนื้อวากิวคุณภาพดีให้ไม่อั้นตลอด 1.30 ชม. เริ่มต้นแค่คนละ 469 บาท+ และเมนูสุด Signature ซึ่งมักจะอยู่ในภัตตาคารญี่ปุ่นระดับสูงคือ "Yaki-Suki" หรือเนื้อวากิวสไลด์บางราดซอสสุกี้ยากี้ย่างพอสุก-จิ้มกับไข่ดิบสุดฟินก็มีให้กินได้เรื่อยๆ วิธีการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวให้ปักหมุดแล้วขับมาตามแผนที่บนมือถือส่วนเรื่องลานจอดรถนั้นมีบริการ 2 จุดก็คือ 1. ซอยข้างรางรถไฟสถานีพญาไทมีค่าบริการชั่วโมงละ 20 บาท 2. ลานจอดรถภายในตึก CP Tower 3 คิดค่าบริการแบบเหมา 3 ชั่วโมงแรก 20 บาท ส่วนชั่วโมงต่อไปคิดราคาชั่วโมงละ 10 บาท จากนั้นเดินมาที่จุดหมายตรงซอยโกลิตซึ่งอยู่ใต้สะพานลอยสถานี BTS พญาไทประมาณ 250-300 เมตร ก็จะพบกับตึกสีขาวสะอาดห้อยโคมไฟสไตล์ญี่ปุ่นเรียงกัน 4 ดวงพร้อมหน้าต่างกระจกบานใหญ่ตัดเป็นรูปวงกลมใกล้ๆกับประตูทางเข้าอัตโนมัติที่ติดสติกเกอร์รูปน้องแพนด้าแดงแสนน่ารักแบบนี้แสดงว่ามาถูกแล้วครับ ปัจจุบันทางร้านยังคงอยู่ในกระแสนิยมเนื่องจากมีหลายๆเพจแวะเวียนกันเข้าไปรีวิวจึงทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมากเลยแนะนำว่า "ควรจองผ่านทางเพจมาก่อน" เพราะไม่เช่นนั้นต้องนั่งรอคิวเป็นเวลานาน ถึงแม้ว่าเราจะเลือกเข้ามากันในวันจันทร์ตอนเปิดเพิ่งร้านใหม่เวลา 15.30 น. เผลอแป๊ปเดียวคนอื่นๆก็มาทานเกือบเต็มร้านแล้วเลยต้องรีบเข้าไปขออนุญาตน้องพนักงานเพื่อเก็บบรรยากาศมุมต่างๆด้านในร้านกันก่อนครับ
บรรยากาศภายในร้านเริ่มจากประตูทางเข้ามีเก้าอี้ให้นั่งรอพร้อมเครื่องวัดอุณหภูมิที่ด้านหลังเป็นฉากซึ่งจำลองเหมือนกำลังนั่งอยู่ภายในโรงแรมสไตล์ญี่ปุ่นที่เรียกว่า "เรียวกัง" มีเงาแพนด้าแดงเดินเล่นอยู่ในป่าไผ่ ส่วนพื้นที่ด้านล่างปูด้วยแผ่นหินสีดำกับสวนหินขนาดเล็กให้ความหรูหราชวนถ่ายรูปมาก (ถ้าเปลี่ยนเก้าอี้นั่งรอจากหลากสีสันเป็นโซฟาไม้ที่มีความเข้ากันมากกว่านี้) สำหรับที่นั่งต่างๆมองเข้ามาจากด้านนอกตรงกระจกวงกลมจะเห็นว่ามีลูกค้าท่านอื่นนั่งอยู่เป็นโต๊ะยาวนั่งห้อยขาแบบญี่ปุ่นรองรับได้ 8-10 คน ถัดเข้ามาอีกหน่อยเป็นเหมือนโต๊ะฮันนีมูนริมหน้าต่างกันฉากไม้นั่งได้ 2-4 คน ส่วนฝั่งตรงข้ามเป็นโต๊ะขนาดเล็กสุดสำหรับนั่งทานปิ้งย่างกันเป็นคู่ๆ ถ้าใครยกพวกมากันเป็นกลุ่มใหญ่แนะนำให้จองโซนกลางร้านซึ่งเป็นโต๊ะยาวเรียงกันรองรับได้สูงสุด 12 ที่นั่ง และที่สำคัญก็คือเก้าอี้ทรงกระบอกทั้งหมดภายในร้านสามารถเปิดเบาะรองก้นออกมาใส่กระเป๋า-สัมภาระต่างๆลงไปเก็บเพื่อป้องกันกลิ่นควันได้เหมือนที่ประเทศญี่ปุ่น สุดท้ายก็คือโซนที่เราจองมาเป็นด้านหน้าครัวประกอบไปด้วยโต๊ะขนาดกลางสำหรับ 4 คน และโต๊ะขนาดใหญ่สามารถนั่งเป็นกลุ่มได้สูงสุดถึง 6 คน โดยการตกแต่งภายในร้านทั้งหมดเน้นความเป็นเรียวกังจึง มีความเป็นญี่ปุ่นโบราณอย่างเต็มเปี่ยม/หรูหราและชวนนั่งสบายๆเหมือนมานั่งทานอยู่ร้านใจกลางทองหล่อเลยครับ
เมื่อเรามานั่งที่โต๊ะน้องพนักงานก็จะถามเลยว่าจะทานบุฟเฟ่ต์ราคาเท่าไหร่ซึ่งมีให้บริการ 2 ระดับคือ 469 บาทและ 699 บาท (ไม่รวมเครื่องดื่มและ Vat. 7%) โดยสามารถดูรายการอาหารของแต่ละระดับราคาพร้อมกติกาได้ที่ลิงก์นี้ https://anyflip.com/dypwn/nzpv/ ซึ่งเราเลือกเป็นเมนู "Premium Buffet" ราคาคนละ 699 บาท+ สั่งอาหารได้รวมกว่า 61 รายการและไม่มีขนมหวานเสิร์ฟให้แต่ก็สามารถร่วมสนุกกับกิจกรรมเช็กอินของทางร้านได้ตามกติกาที่เขียนเอาไว้ด้านล่างซ้ายของใบสั่งอาหารฟรีคนละถ้วย โดยระบบของทางร้านใช้กระดาษพิมพ์ตารางเป็นสีเคลือบด้วยพลาสติกใสสำหรับใช้งานระยะยาวถ้าอยากกินอะไรก็ใช้ปากกาเคมีเขียนจำนวนลงไปในช่องว่างยกเว้นแค่บางรายการที่ต้องวงกลมเลือกจำนวนเพราะจำกัดการสั่งได้ครั้งละไม่เกิน 2 ที่เนื่องจากเป็นเนื้อชุดใหญ่ (กินหมดแล้วก็สั่งใหม่ได้เรื่อยๆ) ถ้าทานไม่หมดทางร้านปรับเป็นแบบเหมาอีกคนละ 250 บาท ส่งใบสั่งอาหารให้กับพนักงานแล้วเรามาโฟกัสที่น้ำจิ้มกันต่อซึ่งมีให้เลือกทาน 3 สูตรคือ 1. เกลือหิมาลายันสีชมพูรสชาติเค็มกลมกล่อมผสมพริกไทยดำบดสดจากกระปุกหอมๆเพื่อรับความหอมที่แท้จริงของเนื้อวากิวแบบร้านสเต๊ก 2. น้ำจิ้มยากินิคุสูตรเข้มข้นที่ชิมแล้วรู้เลยว่าทางร้านปรุงเองเพราะสัมผัสหนืดรสหวานเค็มกลมกล่อมหนักกลิ่นขิง/มิริน/สาเก เพิ่มความแซ่บด้วยพริกสด/กระเทียมสับได้ตามใจ แต่ถ้าต้องการความแซ่บถึงใจสุดๆก็ต้อง 3. น้ำจิ้มซีฟู้ดที่กล้าพูดเลยว่าเผ็ดเปรี้ยวดีที่สุดในบรรดาร้านบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างที่เคยรีวิวมาเข้มข้นด้วยกระเทียมบดพริกสดหอมน้ำมะนาวเตะจมูกสะใจมากๆครับ
นั่งไปสักพักเครื่องเคียงต่างๆก็ถูกยกออกมาเสิร์ฟก่อนอย่างรวดเร็วเริ่มต้นกันที่ "กิมจิ" มีสีแดงสวยงามรสชาติเผ็ดเค็มอมหวานสัมผัสกรุบกรอบเคี้ยวสนุก/ "ยำสาหร่าย" สีเขียวสดรสหวานอมเปรี้ยวหอมน้ำมันงาตามมาตรฐานทั่วไป/ "ถั่วแระญี่ปุ่น" หรือเอดามาเมะเม็ดใหญ่อวบเนื้อแน่นเคี้ยวมันรสเค็มเกลือกลมกล่อม / "ครีบหอยเชลล์ซอสงา" รสชาติหวานนำเค็มหอมกลิ่นน้ำมันงาเข้ากับครีบหอยเชลล์สีขาวเคี้ยวกรุบกรอบสู้ฟันนิดๆได้เป็นอย่างดี / "เนกิดาเระ" หรือต้นหอมญี่ปุ่นซอยเอาไปคลุกกับเกลือแล้วบีบน้ำส่วนเกินออกเพื่อลดกลิ่นฉุนให้หวานละมุน แล้วปรุงรสก่อนเสิร์ฟด้วยเกลือและพริกไทยอีกเล็กน้อยไว้ห่อทานกับยากินิคุให้ความสดชื่นช่วยแก้เลี่ยนจากไขมันของเนื้อวัวได้ดีสุดๆ / "ซาชิมิปูอัด" คุณภาพอยู่ในระดับทั่วไปรสหวานเนื้อเด้งหอมกลิ่นปูผสมแป้งนิดๆ / "ไข่หวาน" สีเหลืองสวยม้วนเรียงกันเป็นชั้นๆรสหวานหอมน้ำซุปปลาฉ่ำแตกในปากเวลาเคี้ยวไว้ทานเพลินๆระหว่างรอเนื้อย่างสุก / "ข้าวผัดกระเทียมเรดแพนด้า" ใช้ข้าวญี่ปุ่นแบบเมล็ดอ้วนกลมผัดมาสีสันดูเหมือนจะจืดแต่ก็มีรสชาติผสมกลิ่นเนยกระเทียมเจียวและพริกไทยให้ความเผ็ดร้อนเล็กน้อยปิดท้ายด้วยการโรยต้นหอมซอย จุดเด่นของชามนี้ก็คือไม่มันเลี่ยนจึงเข้ากับเนื้อย่างได้ดีกว่าข้าวผัดที่เสิร์ฟในร้านยากินิคุทั่วไปนั่นเองครับ สุดท้าย "ซุปมิโสะ" พื้นฐานเป็นน้ำดาชิสุดอูมามิใส่เต้าหู้อ่อนกับวากาเมะผสมมิโสะขาวและโรยต้นหอม รสค่อนข้างเค็มเบาๆจึงได้ความสดชื่นซดเพลินมากกว่าครับผม
ระหว่างกำลังทาน Side Dish เพลินๆเตาก็ถูกยกออกมาวางในหลุมกลางโต๊ะโดยใช้ถ่านไม้ก้อนใหญ่สีแดงร้อนแรงพิเศษเหมาะสำหรับการย่างเนื้อให้สุกเกรียมด้านนอกแต่ข้างในคงความชุ่มฉ่ำเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม ประเดิมกันที่เมนู Signature สุดพรีเมี่ยมอย่างแรกที่มาแล้วต้องสั่งคือ "เนกิดาเระวากิว" โดยทุกๆจานในร้านที่ขึ้นชื่อว่า "วากิว" เราได้สอบถามน้องพนักงานมาแล้วว่าคือ "Tajima Wagyu" คัดมาเฉพาะ MBS หรือ Marble Score ระดับ 4/5 เกรดพิเศษนำเข้าจากประเทศออสเตรเลียโดยจุดเด่นของเนื้อวัวชนิดนี้ก็คือมีชั้นไขมันสวยงามรวมถึงรสชาติกับกลิ่นเข้มข้นแต่ไม่รุนแรงจนเหม็นสาบและเหนียวแบบสายพันธุ์ออสเตรเลียแท้ 100% เพราะเอาข้อด้อยจุดนั้นออกไปด้วยเลือดของพ่อพันธุ์วากิวญี่ปุ่นอีกทั้งยังถูกเลี้ยงดูจากฟาร์มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางจึงออกมาดูดีอย่างที่เห็น ส่วนที่ทางร้านเอามาเสิร์ฟเราคิดว่าน่าจะเป็นสันนอกแทรกไขมันและติดขอบเล็กน้อยสไลด์เป็นแผ่นใหญ่บางๆ วิธีการย่างก็คือคีบลงในเตาถ่านร้อนๆให้พอสุกสีอมชมพูพร้อมกับวาง "เนกิดาเระ" เอาไว้ด้านบนเล็กน้อยก็พร้อมนำเข้าปากได้ทันทีจะได้ความหอมนุ่มชุ่มฉ่ำของน้ำเนื้อและไขมันทาจิมะวากิวคุณภาพดีไหลเอ่อล้นแน่นเต็มๆปาก ตัดเลี่ยนด้วยต้นหอมญี่ปุ่นซอยปรุงรสช่วยเพิ่มความหวานสดชื่นทำให้กินได้อีกเรื่อยๆโดยไม่ต้องเรียกหาน้ำจิ้มเพิ่มแต่อย่างใดเลยครับผม
จานต่อมาเป็นเนื้อสไลด์ชุดใหญ่ซึ่งเป็นอีกเมนูเด็ดที่ไม่ควรพลาดเลยก็คือ "เซตพรีเมี่ยมวากิว" มีข้อจำกัดในการสั่งเพียงครั้งละ 1-2 ชุดเท่านั้นเพราะเสิร์ฟมาแบบอลังการสุดๆ โดยประกอบไปด้วยเนื้อทั้งหมด 4 ส่วนได้แก่ 1. ทาจิยามะสันนอกสไลด์หนาชิ้นพอคำ 2. โบริสุเกะเสือร้องไห้สไลด์บางส่วนท้องชั้นไขมันหนา 3. ฮารามิกะบังลมมีไขมันน้อยแต่เนื้อนุ่มเคี้ยวเพลิน สุดท้าย 4. เซนไดกิวทังหรือลิ้นวัวสไลด์บางมีแทรกชั้นไขมันย่างให้เกรียมหน่อยเคี้ยวกรุบกรอบเพลินๆ โดยวิธีการทานชุดนี้ทางร้านแนะนำ 2 รูปแบบก็คือ 1. นำลงย่างบนเตาถ่านให้พอสุกแล้วบิดเกลือหิมาลายันและพริกไทยดำลงไปเล็กน้อยเพื่อลิ้มลองความอร่อยที่แท้จริงของเนื้อวากิว 2. ย่างให้พอสุกอมชมพูแล้วจิ้มลงในซอสยากินิคุสูตรพิเศษของทางร้านรสหวานเค็มกลมกล่อมหอมกลิ่นขิงผสมมิรินและสาเกได้อย่างสดชื่นลงตัวเพื่อรับความอร่อยสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ ซึ่งโดยรวมถือว่าพรีเมี่ยมสมชื่อแต่บางรายการในจานนี้ไม่มีให้สั่งแยกซึ่งคิดว่าน่าจะมีบางส่วนที่ราคาค่อนข้างแพงกว่าปกติ ยังไงก็อย่าบุ่มบ่ามให้ค่อยๆสั่งมาทีละนิดไม่งั้นโดนปรับเพิ่ม 250 บาท นะครับ
เมนูต่อไปเราตั้งใจมาเพื่อกินจานนี้โดยเฉพาะนั่นก็คือ "ยากิสุกี้" ถ้าให้อธิบายง่ายๆมันก็คือเนื้อวากิวซึ่งร้านเลือกใช้เฉพาะส่วนท้องแทรกไขมันเป็นชั้นอย่างเสือร้องไห้เอามาสไลด์ให้บางวางเรียงกันอย่างสวยงาม ก่อนจะนำไปเสิร์ฟก็ราดด้วยซอสสุกี้ยากี้สูตรเข้มข้นพิเศษและโรยด้วยงาขาวพร้อมไข่ไก่ดิบอีกฟอง ส่วนวิธีการทานก็เหมือนกับชาบูชาบูแค่เปลี่ยนจากการเอาไปลวกในหม้อมาย่างบนเตาถ่านให้เนื้อพอสุกเกรียมนิดๆมีสีอมชมพูก็จิ้มลงในไข่ไก่ดิบพร้อมเข้าปากได้ทันที ซึ่งมีจุดเด่นที่อร่อยเด็ดแตกต่างจากการแบบชาบูหลายอย่างเริ่มจากซอสสุกี้ยากี้รสหวานเค็มเข้มข้นกลมกล่อมเคลือบเนื้อเอาไว้ราวกับคาราเมลหอมกลิ่นถ่าน ส่วนไข่ไก่ดิบมีหน้าที่ทำให้ความร้อนของเนื้อลดลงและยังช่วยเพิ่มความหอมมันชวนไหลลื่นลงคอมากยิ่งขึ้นและได้เคี้ยวสนุกมากกว่าการลวกในหม้อปกติ ถือเป็นการเอาจานราคาแพงในภัตตาคารยากินิคุสุดหรูระดับแนวหน้ามาเสิร์ฟให้ลูกค้าทั่วไปได้รับประสบการณ์อันแปลกใหม่ ไม่เหมือนร้านบุฟเฟ่ต์เนื้อย่างสไตล์ญี่ปุ่นเจ้าอื่นๆที่อยู่ในระดับราคาเดียวกันโดยจะเรียกว่าทำเป็นรายแรกก่อนใครเลยก็ได้ครับ
นอกจากนี้ทางร้านยังมีเนื้อวัวส่วนอื่นๆให้เลือกทานอีกมากมายทั้ง "คารามิโสะฮารามิ" ก็เป็นเมนูเด็ดที่จำกัดสั่งได้ครั้งละไม่เกิน 2 ที่ เป็นส่วนฮารามิที่ไขมันน้อยแต่นุ่มสู้ฟันนิดๆหมักในหม้อมีซอสมิโสะรสเผ็ดสูตรพิเศษจนรสชาติเข้าเนื้อย่างให้สุกให้อารมณ์คล้ายๆโคชูจังเกาหลี โดยจะคีบกินเปล่าๆหรือห่อผักคอสกรุบกรอบอีกหน่อยก็อร่อยเผ็ดเคี้ยวเพลินสมเป็นจานแนะนำของทางร้าน / "โจวกิวตัน" หรือลิ้นวัววากิวสไลด์สีชมพูแทรกไขมันสีขาวสวยงาม ย่างให้เกรียมๆหน่อยเคี้ยวกรุบกรอบอร่อยดีแต่ถ้าจะให้ล้ำกว่านั้นแนะนำให้สั่ง "เนกิดาเระ" มาวางด้านบนอีกหน่อยก็จะกลายเป็นเมนูลิ้นวัวย่างต้นหอมที่อร่อยยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า / "คาตะโรสุ" หรือส่วนเนื้อลีนแดงของวัววากิวที่เหมือนว่าทางร้านเหมือนจะราดด้วยซอสสูตรพิเศษก่อนให้เราลงย่าง ถืงแม้จะมีไขมันแทรกอยู่น้อยแต่ก็ได้รสชาติสุดเข้มข้นและฉ่ำน้ำเนื้อตามธรรมชาติที่ยิ่งเคี้ยวก็ไหลปริ่มเข้ามาในปากเรื่อยๆอย่างไม่หยุดหย่อนจนกว่าเราจะกลืนลงไป / "โคชูจังโซโตะบาระ" และ "โจวบุริสึเก็ตโตะ" ทั้ง 2 เมนูนี้ก็คือส่วนเสือร้องไห้หรือบริสเกตเหมือนกันแค่สไลด์พร้อมย่างกับหมักด้วยโคชูจังรสเผ็ดอมหวานกลมกล่อมสไตล์เกาหลีซึ่งคุณภาพไม่ต่างจากที่เสิร์ฟในชุดวากิวพรีเมี่ยมเลยครับ
ถ้าคุณเคยไปนั่งร้านอิซากายะที่ขายยากิโทริหรือของเสียบไม้ย่างสไตล์ญี่ปุ่นแล้วรู้สึกปวดหัวกับราคาที่ค่อนข้างแพงก็มาลุยกันที่ "Red Panda Yakiniku" แทนเพราะมีหลายเมนูให้สั่งมากมายเริ่มกันที่ "วากิวเสียบไม้" เป็นเนื้อวากิวบดปรุงรสผสมเข้ากันหลายๆส่วนย่างบนเตาถ่านทานแบบแฮมเบิร์กสไตล์ญี่ปุ่น / "เนื้อเสียบไม้ย่างเกลือ" เป็นส่วนบริสเกตหรือเสือร้องไห้ที่สไลด์มาหนาพิเศษเสียบไม้พร้อมปรุงด้วยเกลือพริกไทย / "สามชั้นเสียบไม้ย่างเกลือ" เป็นหมูสามชั้นที่ลอกหนังแข็งชวนติดฟันออกไปแล้วหั่นให้ขนาดพอดีคำเสียบไม้โรยเกลือ-พริกไทยก่อนลงเตาย่าง / "เบคอนพันเห็ดเข็มทองเสียบไม้" เป็นหมูสามชั้นรมควันสไลด์บางพันเห็ดเข็มทองแบบพอดีคำ ย่างให้สุกกรอบฉ่ำน้ำเห็ดได้รสเค็มกลมกล่อมตามธรรมชาติของเบคอนที่ทางร้านน่าจะรมควันด้วยตัวเอง / "ยากิโทริ" เป็นส่วนสะโพกไก่หั่นเป็นชิ้นพอคำหมักซอสซีอิ๊วรสหวานนำเค็มกลมกล่อมหอมโชยุผสมมิรินและสาเกจนเข้าเนื้อ เอาไปย่างบนเตาถ่านให้สุกหอมชุ่มฉ่ำก็อร่อยล้ำไม่แพ้ร้านอิซากายะที่สีลมหรือทองหล่อ สุดท้าย "ยากิโทริเนกิมะ" เป็นสะโพกไก่หมักแบบเดียวกับไม้ที่แล้วแต่เพิ่มต้นหอมญี่ปุ่นก้านสีขาวรสชาติหวานเผ็ดฉุนขึ้นจมูกเล็กน้อยลงไปเพื่อช่วยให้ไม่เลี่ยนและกินได้เยอะขึ้นกว่าเดิม โดยรวมบอกเลยว่าอร่อยไม่แพ้ร้านนั่งดื่มสไตล์ญี่ปุ่นแต่เราต้องสวมบทวิญญาณเชฟอีกหน่อยซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นนักแถมยังสามารถเลือกปรับระดับความเกรียมกรอบหรือแค่พอสุกฉ่ำตามใจซึ่งก็สนุกไปอีกแบบครับ
สำหรับเมนูเสียบไม้ที่เป็น Signature มาแล้วห้ามพลาดและอร่อยติดใจจนเราต้องสั่งมาเพิ่มอีกนั่นก็คือ "วากิวเสียบไม้" ซึ่งผมกับแฟนลงมติกันแล้วว่าอร่อยสุดเลยสอบถามน้องพนักงานได้ความมาว่า เป็นวากิวส่วนเนื้อแดงเอาไปผสมกับไขมันตามสัดส่วนพิเศษใส่เครื่องเทศลงไปมากกว่า 5 ชนิดให้ออกมารสชาติกลมกล่อมราวกับแฮมเบิร์กที่เสิร์ฟในภัตตาคารญี่ปุ่น โดยวิธีการย่างแนะนำว่าให้ใจเย็นๆหน่อยเพราะถ้ารีบมากไปด้านนอกจะสุกไหม้แต่ข้างในยังสีชมพูอยู่ แค่เอาไปวางที่ขอบนอกของเตาพร้อมๆกันหลายไม้หน่อยก็ได้อร่อยฟินไปได้เรื่อยไม่มีสะดุดนั่นเองครับผม
ถ้าใครไม่ทานเนื้อวัวที่ร้านก็มีหมูคุโรบูตะให้สั่งอีกหลายส่วนเริ่มต้นที่จานแรก "คุโรบูตะเซต" รวมในจานทุกส่วนมีทั้ง 1. สันคอแทรกไขมันตัดกับเนื้อสีชมพูเคี้ยวนุ่มสมดุลกำลังดี 2. สามชั้นที่ตัดแต่งเอาไขมันส่วนเกินออกเหลือแค่เนื้อแดงสลับชั้นไขมันสวยงามราวกับหินอ่อนเนื้อนุ่มทานแล้วไม่เลี่ยน 3. คอหมูของแท้เนื้อแน่นแทรกไปด้วยชั้นไขมันละเอียดเคี้ยวหนึบสู้ฟันย่างหอมๆให้ติดกลิ่นควันถ่านหน่อยๆอร่อยฟินสุดๆ และ 4. ปกติเมนูนี้ต้องมีไส้กรอกอาราบิกิมาด้วยแต่วันที่เราไปหมดพอดีเลยอดชิมอย่างที่เห็นครับ ส่วนเมนูหมูอื่นๆที่เป็นคุโรบูตะก็จะคล้ายๆกับที่ชิมไปก่อนหน้านี้เลยสั่งมาเฉพาะที่อยากลองซึ่งเป็นเนื้อหมูธรรมดาอย่าง "สันคอคารามิโสะ" ที่ร้านใช้เป็นเกรดอนามัยมาสไลด์บางราดซอสราคามิโสะก่อนเสิร์ฟ เวลาย่างก็จะเคลือบให้รสเผ็ดหวานกลมกล่อมแต่ไม่เข้าเนื้อเหมือนกับเมนูหมักในไห / "สามชั้นซอสโคชูจัง" เป็นสามชั้นลอกหนังที่มีปริมาณเนื้อกับไขมันค่อนข้างสมดุลแต่ไม่สวยงามเท่ากับคุโรบูตะเอามาสไลด์บางราดซอสโคชูจังสไตล์เกาหลีลงไปก่อนย่างให้รสเผ็ดหวานแต่ไม่อร่อยนัวเท่าคารามิโสะจานก่อนครับ
ใครที่เป็นสายซีฟู้ดบอกได้เลยว่าร้านนี้มีเมนูให้เลือกน้อยแต่คุณภาพจัดเต็มสุดๆเริ่มจาก "แซลมอน" หั่นเสิร์ฟให้แบบสเต๊กชิ้นใหญ่ติดหนังหนาพิเศษคุณภาพสูงพร้อมเลมอนสำหรับบีบลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติและตัดเลี่ยนก่อนทาน / "กุ้งขาวใหญ่" ที่บอกได้เลยว่านี่มันไซส์จัมโบ้ชัดๆโดยทางร้านได้ตัดหัวฝ่าหลังเอาเส้นกลางออกให้พร้อมย่าง จึงช่วยให้เนื้อกุ้งยังคงความชุ่มฉ่ำไม่สัมผัสกับความร้อนในเตาโดยตรงจนแห้งไม่หลงเหลือความอร่อยและทานได้ง่ายยิ่งขึ้น / "หมึกกระดองเล็ก" ถึงแม้ว่าจะเป็นไซส์จิ๋วแต่เนื่องจากปลาหมึกชนิดนี้เกิดมาเพื่อย่างบนเตาถ่านโดยเฉพาะจึงเนื้อหนาเคี้ยวสู้ฟันอีกทั้งยังสดใหม่ไร้กลิ่นเหม็นคาว / "ชิชาโม่" หรือปลาไข่ห่อด้วยแผ่นฟลอยด์พร้อมลงย่างบนเตาถ่านซึ่งช่วยให้เนื้อยังคงรูปอย่างสวยงามไม่ติดตะแกรงอีกทั้งยังรักษาความสดหวานของเนื้อกับไข่สุดแน่นเต็มท้องเอาไว้เกือบ 100% ส่วนวิธีการทานเพียงแค่จับลงเตาย่างให้ความร้อนค่อยๆระอุจากภายในเหมือนเป็นการนึ่งจนสุกแล้วก็บีบน้ำมะนาวสดๆที่เสิร์ฟมาพร้อมกันในจานลงไปอีกเล็กน้อยหรือจิ้มซอสซีฟู้ดสุดแซ่บก็อร่อยโดนใจทั้งสองแบบครับ
ใครที่เป็นสายปลาดิบซาชิมิอาจจะไม่ค่อยถูกใจเพราะนอกจากปูอัด-ไข่หวานแล้วก็มีแค่ "ซาบะดองอาบูริ" หรือปลาซาบะดองแบบญี่ปุ่นรสเปรี้ยวเค็มไขมันเต็มเปี่ยมเอามาลนไฟที่หนังพอให้ไหม้และมีกลิ่นหอมอ่อนๆชวนให้น่ากินมากยิ่งขึ้น โดยเตาถ่านรอบนี้เราให้พนักงานเคลียร์เป็นอันใหม่แล้วนำซีฟู้ดทุกๆอย่างที่สั่งมาลงไปย่างให้ได้ตามระดับความสุกที่ต้องการ จากนั้นลิ้มรสความอร่อยได้ทั้งหมด 2 วิธีคือ 1. บีบน้ำมะนาวหรือเลมอนสดบนตัวซีฟู้ดที่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ร้อนๆเพิ่มรสเปรี้ยวหอมกลิ่นซีตรัสช่วยให้สดชื่นและรับรสชาติความสดของวัตถุดิบแบบเดียวกับสไตล์ฝรั่ง 2. จิ้มลงในซอสซีฟู้ดแบบไทยซึ่งสูตรของที่ร้านนี้หนักพริกสด/กระเทียม/น้ำมะนาวรสชาติเปรี้ยวเผ็ดหวานแซ่บถึงใจจัดจ้านสุดๆจนอยากจะเตือนคนที่ไม่ทานเผ็ดว่าควรจิ้มแค่น้อยๆ แต่ถ้าคุณเป็นคนทานเผ็ดเก่งอยู่แล้วล่ะก็จุ่มให้พริกสดและกระเทียมสับละเอียดเคลือบทั่วทั้งชิ้นซีฟู้ดก่อนใส่เข้าปากอย่างเต็มที่ รับรองว่าได้ปาดเหงื่ออย่างแน่นอนครับ
อีกหนึ่งเมนูที่ทางร้านให้ประสบการณ์ด้านความพรีเมี่ยมได้อย่างรู้สึกหนำใจอีกอย่างนั่นก็คือ "โฮตาเตะ" ซึ่งอยู่ภายในหมวดที่มีชื่อว่า Grill Cup เป็นหอยเชลล์ฮอกไกโดหรือที่มีอีกชื่อว่าโฮตาเตะตัวใหญ่ราคาแพงนำเข้าจากเกาะฮอกไกโดประเทศญี่ปุ่น เอามาใส่ถ้วยทองเหลืองราดซอสโชยุผสมเนยกระเทียมแล้วลงเตาย่างให้สุกตามต้องการจนได้รสชาติที่เค็มหอมเนยกระเทียมสุดกลมกล่อมเคี้ยวเต็มคำโดยไม่ต้องจิ้มซอสซีฟู้ด ที่สำคัญคือสามารถสั่งได้เรื่อยๆแบบไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อเสิร์ฟเพราะฉะนั้นใครที่กำลังมองหาความคุ้มค่าเมนูนี้รับรองว่าตอบโจทย์ครับ ในหมวดนี้ก็ยังมีอีกหลากหลายรายการทั้ง "ต๊อกโปกี" ที่ใส่เส้นต๊อกในน้ำซุปปลาเกาหลีกับโคชูจังพร้อมผัดเองในเตาให้เคลือบตัวเส้นในกระทะจนมีสีแดงเข้มแบบเดียวกับที่เสิร์ฟในร้านอาหารเกาหลี / "ข้าวโพดคลุกเนย" เป็นเมล็ดข้าวโพดที่ใส่เกลือและเนยลงไปให้ความเค็มหอมมันตัดกับความหวานธรรมชาติของข้าวโพดกินได้เพลินๆ / "อาหารทะเลโคชูจัง" เป็นซีฟู้ดหลายๆอย่างทั้งกุ้งเด้ง,หอยแมลงภู่,ปลาหมึกกระดองราดโคชูจังก่อนเอาไปผัดในเตาให้ตัวซอสซึมเข้าไปในเนื้อให้รสเผ็ดหวานกลมกล่อม สุดท้ายในหมวดของวัตถุดิบสำหรับย่างก็เป็นผักสดต่างๆซึ่งเราให้ทางร้านจัดมาแบบรวมทั้ง กรีนคอส/ต้นหอมญี่ปุ่น/ฟักทอง/กระเทียม/เห็ดออเร็นจิ/มะเขือม่วง/หัวหอมใหญ่เอาไว้ย่าง-ห่อเนื้อครับผม
ถ้าทานยากินิคุแล้วรู้สึกเลี่ยนที่ร้านก็เข้าใจจึงมีเมนูสลัดกับยำให้สั่งมากมายเริ่มจาก "ยำวากิว" เป็นเนื้อวัววากิวย่างแบบไม่ติดมันวางบนผักกรีนคอสคลุกผักกาดแก้วและมะเขือเทศเชอร์รี่ ด้วยน้ำยำสูตรพิเศษรสหวานเปรี้ยวเผ็ดลงตัวเข้ากับปริมาณของเนื้อและผักได้แบบไม่มีน้ำเหลือส่วนเกิน / "ยำแซลมอน" พื้นฐานเหมือนกับจานที่แล้วแค่จับท็อปปิ้งด้านบนเปลี่ยนใหม่เป็นแซลมอนซาชิมิเนื้อแน่นไขมันน้อยทานแล้วไม่ค่อยรู้สึกเลี่ยนแทน / "อาวาบิครีมสลัด" หรือสลัดกุ้งเด้งลวกซึ่งใช้ผักแบบเดียวกับจานก่อนๆแค่เพิ่มหอมแดงแขกลงไปอีกนิดหน่อย โดยสลัดครีมเป็นสเปรดเนื้อเข้มข้นพิเศษผสมแตงกวาดองและแครอทลงไปให้ความหวานมันเข้มข้นจับตัวเป็นก้อน วิธีการกินก็เพียงแค่คลุกทุกอย่างภายในชามให้เข้ากันก็อร่อยกับผักสดกรอบผสมครีมสลัดใส่เนื้อกุ้งเด้งๆได้อย่างลงตัว / "ทาโกะครีมสลัด" รสชาติและวัตถุดิบแทบไม่ต่างจากจานที่แล้วเพียงแค่เปลี่ยนจากกุ้งให้เป็นปลาหมึกทาโกะลวกชิ้นใหญ่ๆแทนครับผม
ส่วนใครที่ดื่มน้ำเยอะแล้วกังวลเรื่องค่าเครื่องดื่มจะบานปลายก็สบายใจได้เพราะเขามี "ชาเขียว (Refill)" ให้ซึ่งจ่ายเพียงคนละ 39 บาทก็สามารถเติมได้ไม่อั้นตลอด 1.30 ชม. เป็นชาเขียวชงจากผงมัทฉะแท้ๆเทใส่ในเหยือกและเนื่องจากมีการนอนก้นเกิดขึ้นจึงสีสันสองแก้วแตกต่างกันอย่างที่เห็นเล็กน้อยแต่จืด/หอมสดชื่นดื่มสบายเหมือนเดิม ถึงแม้ขนมหวานจะไม่ได้รวมในรายการบุฟเฟ่ต์แต่ทางร้านก็ไม่ได้ใจร้ายมากขนาดนั้น เพราะตอนนี้กำลังมีกิจกรรมให้ร่วมสนุกเพียงเข้าไปที่เพจของทางร้านกดเช็กอินพร้อมติด #RedPandaYakiniku เพียงคนเดียวก็รับขนมหวานไปเลยทั้งโต๊ะซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 3 เมนู ก็คือ 1. มูสช็อกโกแลตที่เราไม่ได้สั่งมา 2. มูสมะม่วงเป็นไวท์ช็อกโกแลตสลับกับมูสครีมผสมเนื้อมะม่วงน้ำดอกไม้ปิดท้ายด้วยเจลลี่รสมะม่วงรสหวานอมเปรี้ยวหอมละมุนลงตัว และ 3. สตรอว์เบอร์รี่พานาคอตต้าที่ทำจากครีมนมผสมกับเจลลาตินรสหวานกลมกล่อมหอมวนิลาอ่อนๆ นำใส่ถ้วยไปแช่จนเย็นให้ขึ้นรูปแล้วราดด้วยซอสสตรอว์เบอร์รี่สดหอมอมเปรี้ยวกินแล้วสดชื่น โดยเสิร์ฟให้คนละถ้วยและจำกัดแค่วันละ 45 ที่เท่านั้นถ้าอยากจะชิมแนะนำให้มาตั้งแต่เปิดช่วยประหยัดเงินไปได้เพราะทางร้านขายราคาถ้วยละ 59 บาทครับผม
มื้อนี้มาทานกัน 2 คนจ่ายไป 1,579 บาท มีบวก Vat. เพิ่มอีกแค่ 7% โดยรวมถือว่าเสิร์ฟเนื้อวัววากิวคุณภาพสูงรสชาติดีจริงถึงแม้ว่าจะใช้เป็นลูกครึ่งสายพันธุ์ญี่ปุ่นผสมออสเตรเลียก็ตาม ส่วนเมนูซีฟู้ดต่างๆแม้จะมีให้สั่งน้อยแต่ก็เลือกใช้เฉพาะของเกรดสด/ตัวใหญ่คัดมาเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเข้ากันกับน้ำจิ้มยากินิคุทำเองกับซีฟู้ดสุดแซ่บโดนใจ ในบรรยากาศร้านสไตล์ญี่ปุ่นราวกับอยู่เรียวกังกลางเมือง ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS พญาไทเดินทางสะดวกสุดๆแบบนี้ได้รับคะแนนอร่อย-คุ้มไป 5 ดาวเต็มเลยครับ 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : เลขที่ 55/26 และ 27 ซอยโกลิต ถนนพญาไท แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400
เปิดทุกวัน จ.-ศ. เวลา 15.30-22.00 น. กับ ส.-อา. 11.00-22.00 น. (อาจมีการเปลี่ยนตามคำสั่งของรัฐบาล)
โทร. 098-836-6221
Facebook : www.facebook.com/RedPandaYakiniku
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share อวดเพื่อนๆของคุณ
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comments