วันก่อนเพิ่งทานบุฟเฟ่ต์ชาบู-สุกี้ยากี้ร้าน "Senju" (เซ็นจู) ไปแต่ยังไม่รู้สึกพอใจนักเพราะพลาดเมนูเด็ดๆหลายอย่างและอยากเก็บรีวิวใหม่ด้วยเลยตัดสินใจมาแก้มือกันอีกรอบที่ "Tenjo" (เท็นโจ) แทน เพราะเป็นอีกร้านในเครือของ Ten Group ซึ่งมีเมนูและวัตถุดิบคล้ายๆกันราวกับอยู่ในจักรวาลคู่ขนานแค่เปลี่ยนจากชาบูสุกี้ยากี้เป็นยากินิคุ เรามาลุยกันที่สาขาอาคารธนิยะพลาซ่าชั้น 4 ซึ่งเคยแวะกินข้าวแกงกะหรี่ญี่ปุ่นระดับตำนานฝั่งตรงข้ามแล้วพบกับที่นี่โดยบังเอิญถือเป็นร้านใหม่สวยงามใหญ่โตกว้างขวางและไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน วิธีการเดินทางถ้ามาด้วยรถยนต์ส่วนตัวจอดได้ที่อาคาร B1-B2 มีประทับตราจอดฟรี 3 ชม. (ปกติคิด 4 ชั่วโมงแรกราคาชั่วโมงละ 50 บาท ชั่วโมงถัดไปราคาชั่วโมงละ 70 บาท) ถ้าเดินทางมาด้วย BTS หรือ MRT ลงสถานีศาลาแดง-สีลมตามสะดวกจะมีสะพานลอยสามารถเดินทะลุเข้ามาในตัวอาคารธนิยะพลาซ่าได้เลย ขึ้นบันไดเลื่อนมาชั้น 4 เลี้ยวขวาหรือกดลิฟต์แก้วที่หน้าลานกิจกรรมชั้น 1 ก็จะพบกับได้ทันที ตัวร้านเป็นกระจกบานใหญ่สัญลักษณ์โคมสีแดงแบบนี้แสดงว่ามาถึงแล้วครับ
เมนูอาหารกับราคาราวกับอยู่ในจักรวาลคู่ขนานบุฟเฟ่ต์ยากินิคุเริ่มต้นที่ 599/699/999/1,299 และสูงสุดที่ 1,699 ไม่รวม Vat. 7% กับ Service Charge อีก 10% เมื่อคิดเป็นราคาสุทธิจะอยู่ที่ 706/823/1,176/1,529 และ 2,000 ตามลำดับ (เฉพาะจ่ายเงินสด) ใช้บัตรเครดิตคิดเพิ่มอีก 35 บาท (ยกเว้นบุฟเฟ่ต์ตั้งแต่ราคา 999฿++ เป็นต้นไป) เด็กมีส่วนสูงตั้งแต่ 101-120 ซม. ราคา Net. เริ่มต้นที่ 352/411/588/764 และ 1,000 ตามลำดับ เด็กเล็กส่วนสูงไม่เกิน 100 ซม.ทานฟรี ถ้าสูงกว่าที่กำหนดคิดราคาผู้ใหญ่ มีเมนูต่างๆให้สั่งทั้งเนื้อวากิว/ซูชิ/อาหารทานเล่น/เครื่องดื่ม/ขนมหวานรวมกันมากกว่า 179 รายการ โดยวัตถุดิบจะไล่ลำดับความพรีเมี่ยมขึ้นไปเรื่อยๆตามราคาที่จ่ายไป (ถ้าเลือกเมนูระดับสูงที่สุดก็จะสามารถสั่งได้ทุกอย่าง) ความน่าสนใจของบุฟเฟ่ต์ร้านนี้คือความหลากหลายมีทั้งซีฟู้ดดองซีอิ๊วเกาหลี/กุ้งลายเสือ/กุ้งหวานตัวยักษ์/โอโทโร่/ฟัวกราส์/หอยเชลล์โฮตาเตะ/ปลาไหลญี่ปุ่น/ไข่ปลาแซลมอน/เนื้อพรีเมี่ยมวากิว/ไข่หอยเม่น/ปู King Crab กับไอศครีมฮาเก้นดาสสั่งได้ไม่อั้น 2 ชั่วโมงเต็ม แต่ก็มีบางเมนูที่สั่งได้เฉพาะสมาชิกซึ่งแน่นอนว่าเรามีบัตร Ten Group พร้อมรับส่วนลดอีก 5%-10% โดยใช้ได้ทั้งร้าน Senju/Tenjo ด้วยยิ่งคุ้มเข้าไปอีก มีเมนูบางอย่างที่ถูกปรับเปลี่ยนเพิ่มนิดหน่อยเดี๋ยวค่อยไปเจาะลึกกันในร้านครับ
เดินเข้ามาภายในร้านสิ่งที่พบอย่างแรกเลยก็คือเคาน์เตอร์ครัวสำหรับเตรียมเมนูซูชิซาชิมิต่างๆซึ่งเราสามารถมาดูเชฟกำลังปั้น-แล่ปลาสดๆและลนไฟลุกซู่ซ่าได้ตรงนี้ ส่วนบรรยากาศโดยรวมแน่นอนว่าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงนั่นคือโต๊ะและเก้าอี้ใช้เบาะหนังกับหินอ่อนสีดำนั่งสบาย/กว้างขวางกั้นด้วยฉากลายหินอ่อนสีขาวกับกระจกใสๆแบ่งออกเป็นช่องร่วมสมัยสไตล์ "Social Distancing" เพิ่มความอบอุ่นด้วยโคมไฟส้มทรงกลมสีโรสโกลด์ทันสมัยและเส้นสายไฟนีออนสีขาวตัดกับผนังสีทองอมชมพูกับฝ้าแบบเปิดให้เห็นโครงสร้างสไตล์ Loft โดยรวมแล้วถือว่ากว้างขวางไม่ค่อยรู้สึกอึดอัด ก่อนไปนั่งประจำที่โต๊ะเราขอพนักงานมาสำรวจไลน์กันก่อนว่ามีเมนูอะไรต้องตักเองบ้างครับ
ใครที่เคยเข้าร้าน Senju มาก่อนก็บอกได้เลยว่าไลน์อาหาร-ขนมหวานเหมือนกันแค่ตัดผักสดไข่ไก่กับเส้นต่างๆออกไป เครื่องดื่มรวมในราคาบุฟเฟ่ต์เรียบร้อยสามารถเดินมากดได้ด้วยตัวเองทั้ง น้ำอัดลม (โคล่า/น้ำส้ม/น้ำเขียว/น้ำแดง/น้ำมะนาว/โซดาเปล่า) ตู้กดข้างๆกันเป็นน้ำเปล่าแช่เย็น/ชาเขียวมัทฉะ/น้ำโอเชียนบลู/นมสดไต้หวันหอมมันสำหรับประกอบร่างรวมกับไข่มุกและบุกต้มในน้ำตาลบราวน์ชูการ์ ส่วนชาเขียวร้อนนั้นแบ่งเป็นผงมัทฉะกับตู้น้ำร้อนให้กดผสมเติมความเข้มข้นได้ด้วยตัวเอง ขนมหวาน-ผลไม้สดตัดแต่งก็เดินมาหยิบเองในตู้แช่เย็นได้เองทั้ง เยลลี่รสสตรอเบอรี่/เยลลี่รสส้ม/เยลลี่รสแอปเปิ้ล/เยลลี่รสแบล็คเบอรี่/พาตาคอตต้าสตรอเบอรี่ กระทะแพนเค้กมีให้ทำเองเช่นเคยเพียงใส่เนยกับแป้งผสมสำเร็จลงบนเตาวาดเป็นรูปทรงต่างๆราดด้วยเมเปิ้ลไซรัปตามใจ เครื่องทำฟองดูว์ใส่ช็อกโกแลตละลายสำหรับเสียบมาร์ชเมลโลว์/เยลลี่เคลือบน้ำตาลและผลไม้แช่เย็นลงไปเคลือบ ตู้ปั่นน้ำแข็ง/ราดน้ำเชื่อมกลิ่นต่างๆกับนมข้นหวานออกมาเป็นเมนูน้ำแข็งใสข้างๆกันเป็นโมจิสอดไส้และถั่วแดงญี่ปุ่นบดไว้ทานคู่กัน ท้ายสุดก็คือตู้ไอศครีมให้เดินมาตักเองรวมกว่า 6 รสชาติ ใครมีไอเดียอะไรก็ปรุงเป็นเมนูใหม่ได้ตามใจตัวเองเลยครับผม
กลับมานั่งโต๊ะที่เราระบบการสั่งอาหารยังคงเหมือนเดิมนั่นก็คือเขียนตัวเลขจำนวนที่ต้องการในช่องขวาสุดของแต่ละเมนูแบ่งสีของกระดาษออเดอร์ตามระดับราคาด้วย 1. สีดำ Premium Buffet คนละ 599 บ.++ 2. สีเขียว Prime Buffet คนละ 699 บ.++ 3. สีน้ำเงิน Platinum Buffet คนละ 999บ.++ 4. สีทอง Prestige Buffet คนละ 1,299บ.++ 5. สีแดงราคาสูงสุดสำหรับ Ultima Buffet คนละ 1,699 บ.++ วางไว้ให้บนโต๊ะพร้อมดินสอ แนะนำว่าถ้ามาทานกันหลายคนให้มีคนเขียนออเดอร์แค่ผู้เดียวคนอื่นให้สแกนดูเมนูจาก QR Code ตรงหัวโต๊ะบอกรายการกับจำนวนที่ต้องการกับเพื่อนแทนช่วยลดความสับสนได้ดีมาก โดยวันนี้พวกเรายังคงเลือกกินบุฟเฟ่ต์ระดับ Ultima จ่ายราคาคนละ 2,000 บ. วัตถุดิบและเมนูต่างๆจะพรีเมี่ยมเหมือนเดิมไหมมาติดตามไปพร้อมกันเลยครับ
เมื่อเรานั่งถึงที่โต๊ะพนักงานก็จะเสิร์ฟชุดถ้วย-จาน/ที่คีบตะเกียบและแก้วน้ำพร้อมถุงมือพลาสติกสำหรับเดินไปหยิบตักอาหารที่ไลน์หน้าร้านพร้อมถาดใส่น้ำจิ้มกับลงเตาย่างให้ทันที เริ่มจากชุดน้ำจิ้มออกมาจากตู้เย็นหลังร้านเช่นเคยเรียงกัน 4 สูตรพร้อมพริกสด/กระเทียมสับ/ซอสโคชูจังและผงพริกหม่าล่า (อันนี้ถือว่าแปลกดีเพราะไม่เคยเห็นร้านบุฟเฟ่ต์ยากินิคุที่ไหนวางให้แบบนี้มาก่อน) ส่วนเตาย่างที่ใช้เป็นถ่านไม้ร้อนจัดรองด้วยตะแกรงเหล็กทำให้เนื้อสุกทั่วถึงและสม่ำเสมอดี-ระบบดูดควันแรงสะใจสมกับเป็นร้านเพิ่งเปิดใหม่ ระหว่างนี้เพียงรออาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะครับ
ชุดแรกเป็นเมนูเนื้อวากิวที่อยู่ในบุฟเฟ่ต์ระดับ Ultima นั่นก็คือ "พรีเมี่ยมสเต็กวากิวริบอาย" ตัดเสิร์ฟเต็มๆชิ้นแผ่นใหญ่-หนาตัดแบ่งเป็นพอดีคำราวกับร้านสเต็กเทปันยากิในร้านญี่ปุ่นสุดหรู รสชาติของเนื้อและความหอมอยู่ในระดับปานกลางตามสไตล์วากิว/หวานฉ่ำเต็มไปด้วยไขมันเคี้ยวแล้วความอร่อยค่อยๆเข้าพรั่งพรูมาเต็มปากบอกเลยว่าถาดเดียวคงไม่พอแน่นอนครับ "โทคุเซ็นคารูบิ" เนื้อวัวตรงส่วนร่องซี่โครงรสชาติ/ความหอมก็คล้ายๆกับจานแรกแต่มีไขมันแทรกเป็นชั้นละเอียดราวกับหินอ่อนแทนจึงไม่ค่อยรู้สึกเลี่ยนและทานได้เยอะกว่า "โทคุเซ็นมิสึจิ" หรือเนื้อส่วนหนอกของวัววากิวมีชั้นไขมันแทรกสวยงาม แต่ปริมาณเนื้อแดงสัดส่วนเยอะกว่าจานที่แล้วจึงมีความเข้มข้นและได้เคี้ยวมากกว่าเหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบทานเนื้อนุ่มละลายจานนี้ตอบโจทย์มากครับ ถาดสุดท้ายนั่นคือ "ลิ้นวัวคัดพิเศษ" สังเกตได้จากชั้นไขมันสีขาวๆที่มีมากกว่าลิ้นวัวทั่วไปให้ความนุ่มชุ่มฉ่ำและกรุบกรอบสู้ฟันในคำเดียวกันครับ
ชุดต่อไปเป็นเนื้อวากิวที่อยู่ในบุฟเฟ่ต์ราคาระดับ Prestige นั่นก็คือ "เนื้อพรีเมี่ยมวากิวติดกระดูก" เป็นส่วนที่อยู่ตรงซี่โครงแบบเดียวกับโทคุเซ็นคารูบิจานที่แล้ว แต่ชั้นไขมันสีขาวแทรกไม่ละเอียดเท่าจึงได้นุ่มน้อยและมีรสชาติที่เข้มข้นกว่าและต้องแทะกระดูกที่ติดอยู่ออกก่อนชวนรำคาญนิดหน่อย "พรีเมี่ยมวากิวใบพาย" เมื่อดูแล้วเหมือนจะมีลายไขมันจะสวยกว่าโทคุเซ็นมิสึจิ แต่ความละเอียดไม่เทียบเท่าจึงเลี่ยนกินได้ไม่เยอะแต่ก็รสชาติดีไม่แพ้กันจนรู้สึกว่าต่างกันมากเกินไป "เนื้อพรีเมี่ยมวากิวลูกเต๋า" ไม่แน่ใจว่าเป็นส่วนไหนแต่มีเนื้อสีแดงสดราวกับกลีบกุหลาบแทรกชั้นไขมันสีขาวสวยงามหั่นมาชิ้นขนาดพอคำ แนะนำว่าให้ย่างพอสีอมชมพูแบบ Medium Rare จะได้รับรสชาติของน้ำเนื้อผสมไขมันระเบิดในปากฉ่ำสะใจสุดๆเบิ้ลมาอีกหลายๆถาดเลยครับ ถาดสุดท้ายคือ "เนื้อพรีเมี่ยมวากิวโจคารูบิ" เป็นส่วนของร่องซี่โครงที่น่าจะถัดมาจากส่วนติดกระดูกเมื่อกี้ที่แทรกไขมันสวยงาม แต่ก็ไม่เท่าในระดับ Ultima Buffet โดยรวมถือว่าสูสีแต่ถ้าเป็นความนุ่มชั้นไขมันละเอียด-ชิ้นใหญ่สะใจข้ามไป 1,699 บ.++ ดีกว่าแน่นอนครับ
ต่อกันด้วยซีฟู้ดรอบที่แล้วพลาดไม่ได้สั่งมาชิมคือ "กุ้งลายเสือ" รอบนี้ขอสั่งเพิ่มแบบรัวๆบอกได้เลยว่าตัวใหญ่พิเศษเนื้อเด้งกรอบแถมผ่าหลังมาให้และดึงเส้นดำกลางหลังออกสำหรับลงเตาย่างพร้อมทานทันที หากให้เทียบร้านอื่นที่เคยกินบุฟเฟ่ต์มาบอกเลยว่าใหญ่กว่าประมาณ 2-3 เท่าประมาณไซส์กิโลกรัมละ 850-1,000 บาท แต่เอามาเสิร์ฟในบุฟเฟ่ต์ราคาเพียง 1,699 บ.++ ถือว่าคุ้มมากครับผม จานต่อไปเป็น "กุ้งแม่น้ำ" ผ่ากลางตัวแผ่เป็นผีเสื้อมีมันเต็มหัวพร้อมลงเตาย่างเนื้อเด้งกรุบกรอบทานง่ายไม่ต้องแกะให้ลวกมือ ตามมาด้วย "มิโสะมันปูย่าง" หรือคานิมิโสะนำลงย่างบนเตาถ่านเพื่อไล่ความชื้นส่วนเกินออกเหลือแค่มันปูซูไวสัมผัสเข้มข้นรสหวาน/มันคลุกกินกับข้าวสวยหอมกลิ่นถ่านไม้นิดๆอย่างฟินเลยครับ เมนูย่างบนเตาถ่านอีกจานที่เราลืมสั่งรอบก่อนนั่นก็คือ "โฮตาเตะ&แซลมอนภูเขาไฟชีส" เป็นเนื้อปลาแซลมอน+โฮตาเตะหั่นเต๋าราดซอสสไปซี่มาโยโรยมอสซาเรลล่าชีสแบบล้นๆพร้อมไข่กุ้งกับไข่ปลาแซลมอนเต็มหน้า นำไปย่างบนเตาถ่านให้ซอสเดือดชีสยืดๆพร้อมกินได้อร่อยเผ็ดหวานมันฟินไปอีกแบบครับ
วัตถุดิบทุกอย่างมาพร้อมแล้วก็ได้เวลาย่างลงบนเตาถ่านร้อนแรงสะใจแป๊ปเดียวสุกทานได้อย่างรวดเร็ว (ถ้าไฟเริ่มอ่อนลงสามารถขอเติมถ่านได้ฟรีไม่คิดเงินเพิ่มแต่อย่างใด) ทานคู่กับน้ำจิ้มทั้ง 3 สูตรของทางร้านได้แก่ 1. น้ำจิ้มบาร์บีคิวหรือซอสยากินิคุที่เราคุ้นเคยรสชาติหวานนำเค็มกลมกล่อมหอมกลิ่นน้ำมันงาผสมโชยุใส่พริกป่นเล็กน้อยไม่เข้มข้นมากนักจึงไม่รบกวนรสชาติกับกลิ่นที่แท้จริงของเนื้อราคาแพงมากเกินไป ถ้าต้องการความจี๊ดจ๊าดสไตล์ไทยๆมากขึ้นให้เพิ่มพริกสด-กระเทียมสับและน้ำมะนาวลงไปให้อารมณ์ครบ 3 รสเด่นชัดมากขึ้น 2. น้ำจิ้มเต้าเจี้ยวสัมผัสเข้มข้นแต่เค็มน้อยหอมเต้าเจี้ยวบดรสหวานกลมกล่อมคล้ายซัมจัง ประยุกต์ทานได้ทั้งการนำโคชูจังลงไปผสมกลายเป็นซอสเกาหลีหรือเทพริกหม่าล่าลงไปก็กลายเป็นซอสเคลือบสไตล์ปิ้งย่างเสียบไม้ของจีนก็ดีไปอีกแบบ 3. น้ำจิ้มซีฟู้ดรสเปรี้ยวเผ็ดอมหวานใส่กระเทียมกับพริกสดแบบจัดเต็มใช้จิ้มอาหารทะเล/ซาชิมิผสมวาซาบิลงไปหน่อยจี๊ดจ๊าดถึงใจ 9. น้ำจิ้มโชยุรสเค็มกลมกล่อมสำหรับทานคู่กับซูชิ-ซาชิมิหรือเนื้อย่างแตะวาซาบิสไตล์ญี่ปุ่นแบบร้านหรูได้อีก เอาเป็นว่าดูเหมือนน้ำจิ้มจะมีให้เลือกน้อยแต่สามารถผสมกันข้ามไป-มาทานได้หลายแบบไม่มีเบื่ออย่างแน่นอนครับ
จานต่อไปเป็น "เนื้อพรีเมี่ยมวากิวใบโฮะบะ" อยู่ในหมวด Prestige Buffet เอาเนื้อวากิวสไตล์แผ่นบาง-ใหญ่มาวางบนใบโฮบะราดด้วยซอสเทริยากิรสหวานกลมกล่อมโรยต้นหอมซอยและเมล็ดงาขาวคั่ว ท็อปปิ้งด้วยไชเท้าขูดฝอยและไข่ปลาแซลมอนย่างให้สุกพอเปลี่ยนสีทั้งใบไม้ก็รวมเข้าปากได้สัมผัสกับเนื้อวากิวนุ่มๆไขมันฉ่ำไหลเต็มปากอย่างสะใจทุกคำ วิธีการย่างเนื้ออีกแบบที่ไม่ค่อยเห็นรีวิวไหนนำเสนอแต่เรารู้สึกว่ามันว้าวมากนั่นคือ "ให้โรยผงพริกหม่าล่าลงไปตอนย่าง" มีเทคนิคการกินที่อยากมาแชร์หน่อยคือผงพริกหม่าล่าของ"Tenjo" ไม่เผ็ดชาลิ้นหรือเค็มจัดแบบร้านเสียบไม้ข้างทางแต่หอมเครื่องสมุนไพรโรยลงไปได้เลยเยอะๆไม่ต้องยั้งมือ แต่ถ้าอยากทานแบบเผ็ด-ชาลิ้นให้นำไปย่างบนเตาถ่านจะช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและเผ็ดร้อนชาลิ้นมากยิ่งขึ้น กินคู่กับซอสเต้าเจี้ยวสูตรของที่ร้านรับรองว่าเหล่าสาวกหม่าล่าต้องถูกใจสิ่งนี้อย่างแน่นอน ส่วนใครอยากได้ผักสดสำหรับย่างบนเตาถ่านหรือห่อเนื้อราดน้ำจิ้มก่อนเอาเข้าปากคำใหญ่ๆสไตล์เกาหลีแบบในซีรี่ย์สามารถเขียนบนใบสั่งอาหารแล้วส่งให้น้องพนักงานได้เลยครับผม
จานต่อไปเป็นซูชิแบบเดียวกับที่เคยทานในร้าน Senju ก็คือ "ซูชิอูนิ" หรือไข่หอยเม่น สีเหลืองทองสวยงามวางบนข้าวซูชิปรุงรสหวานอมเปรี้ยวม้วนด้วยสาหร่ายโนริลดความมันเลี่ยนด้วยวาซาบิดองฉุนขึ้นจมูกเพิ่มกรุบกรอบอีกเล็กน้อย รสชาติของไข่หอยเม่นหวานเบาๆเนื้อสัมผัสราวกับครีมคัสตาร์ตละลายในปากผสมกับข้าวซูชิลื่นไหลลงคอ แต่เทียบกับร้านที่เป็นโอมากาเสะแท้ไม่ได้เพราะราคาห่างกันค่อนข้างเยอะ ตามมาด้วย"ซูชิฟัวกราส์" ที่วันนี้หั่นมาชิ้นไม่ค่อยหนาแต่สมดุลกับตัวข้าวเอาไปลนไฟราดด้วยซอสเทริยากิพัน/ข้าวซูชิด้วยสาหร่ายโนริ ตัดความเลี่ยนและเพิ่มความหอมสดชื่นทานง่ายด้วย "แยมส้มยูสุ" รสหวานอมเปรี้ยวสูตรเฉพาะพิเศษของทางร้านที่ทำให้กินเพลิดเพลินได้อีกเรื่อยๆไม่มีเบื่อ มาต่อกันด้วย "ซูชิลนไฟหน้าแซลมอนซอสเมนไทโกะ" และ "ซูชิหน้าฮามาจิซอสเมไทโกะ" เป็นซูชิปลาแซลมอน-ฮามาจิลนไฟราดด้วยซอสไข่ปลาค็อตดองรสเผ็ดผสมซอสสไปซี่สูตรของทางร้านให้รสชาติเค็มหวานมันกลมกล่อมในคำเดียวกัน "ซูชิกุ้งแม่น้ำซอสมนไทโกะ" กับ "โบตันเอบิเมนไทโกะ" เป็นกุ้งไซส์ใหญ่-หวานเนื้อแน่นย่างไฟสุกกำลังดีวางบนข้าวซูชิทั้งตัวกินง่ายไม่ต้องแกะเองให้เสียเวลา สรุป 2 ร้านรักษามาตรฐานได้ดีมากเลยครับ
ต่อกันด้วยซูชิ-ซาชิมิที่มาร้านนี้แล้วไม่ควรพลาดนั่นคือ "ซูชิหน้าโอโทโร่" เป็นส่วนที่มีไขมันเยอะสุดของปลาทูน่าครีบสีน้ำเงินหั่นมาขนาดกำลังดีสมดุลกับข้าวปรุงรสหวานอมเปรี้ยวกลมกล่อม เพิ่มรสเค็มและสัมผัสแตกปรุในปากด้วยคาเวียร์ดูหรูหรา "ซูชิหน้าชูโทโร่" ส่วนที่มีไขมันระดับปานกลางของทูน่าครีบสีน้ำเงินวางบนข้าวแบบเดียวกับคำแรกแต่เลี่ยนน้อยทานง่ายกว่า "ซูชิหน้าหน้าอากามิ" ส่วนเนื้อแดงไร้ไขมันของปลาทูน่าครีบสีน้ำเงินรสชาติเข้มข้นกินง่ายไม่เลี่ยน "ซาชิมิปลาแซลมอน" ซึ่งเราสั่งมา 5 ที่และขอให้ทางร้านก็จัดมาหน้าตาสวยงามราวกับกลีบดอกไม้เบ่งบานอีกเช่นเคย มีความสดหวานแทรกชั้นไขมันสวยงามสัมผัสเนื้อนวลเนียนชวนฟินไหลลื่นลงคอแล่ไม่ติดหนังแข็งสีน้ำตาลตรงขอบๆชวนหงุดหงิดเวลาเคี้ยว สำหรับสาวกปลาส้มก็สบายใจได้ว่ามาแล้วไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนครับผม
จานต่อไปเป็นเมนูเฉพาะบัตรสมาชิก Ten Group Card เท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์ได้สั่ง (เรียงจากช้อนสีดำไปหาช้อนสีเงิน) เริ่มต้นกันด้วย โอโทโร่ฟัวกราส์ทรัฟเฟิลช็อต/กุ้งหวานยักษ์ฟัวกราส์ทรัฟเฟิลช็อต/ปลาไหลย่างทรัฟเฟิลช็อตและแซลมอนทรัฟเฟิลช็อต เป็นข้าวซูชิปรุงรสวางด้วยหน้าวัตถุดิบต่างๆคลุกกับทรัฟเฟิล-ทรัฟเฟิลออยให้กลิ่นหอมเตะจมูกไม่เหมือนใครแถมได้ส่วนลดค่าบุฟเฟ่ต์ด้วยถือว่าคุ้มมากที่สมัครไว้ด้วย ตามมาที่ "King Crab" หรือปูยักษ์ชิลี ให้เอาไปย่างบนเตาถ่านก่อนทานเนื้อหวานสัมผัสแน่นเคี้ยวสู้ฟันดีเหมือนเดิม เมนูต่อไปสาวกปลาไหลย่างตัวจริงห้ามพลาด "ปลาไหลย่างซีอิ๊ว" ทางร้านเสิร์ฟมาครึ่งตัวชิ้นขนาดใหญ่ลนไฟมาให้แล้วพร้อมทานเคี้ยวเต็มคำดีแต่ส่วนตัวว่าซอสค่อนข้างจัดไปและทำเป็นซูชิแบบเดิมๆที่เคยสั่งกินได้เพลินกว่า อันนี้แล้วแต่รสนิยมของแต่ละท่านเลยครับ
มาถึงร้าน "Tenjo" แล้วสิ่งที่พลาดไม่ได้เลยคือซีรี่ส์ซีฟู้ดดองทั้งหลายรอบนี้ขอจัดเต็มยิ่งกว่าเดิม มาเริ่มกันจาก "ปูไข่ดองซีอิ๊ว" อยู่ใน Ultima Buffet ที่ตัวใหญ่ไข่เยอะเนื้อหวานฉ่ำว้าวดองน้ำซีอิ๊วสูตรของทางร้านมากลมกล่อมโรยพริกสดกับกระเทียมซอยมาแบบจัดเต็ม ดองมาเข้าเนื้อทานเปล่าๆหรือบีบเอาแต่เนื้อกับไข่เทลงบนข้าวสวยญี่ปุ่นคลุกกับน้ำจิ้มซีฟู้ดของทางร้านอีกนิดบอกเลยว่าฟินถึงใจ อีกอย่างปูไข่ดองไซส์นี้ถ้าใส่กล่องแพ็กขายไม่น่าจะต่ำกว่าตัวละ 500 บาท กินแค่ 3-4 ตัวต่อคนก็คุ้มราคาบุฟเฟ่ต์แล้วครับ "ฮามาจิดองซีอิ๊ว" ดองมาเข้าเนื้อไขมันแทรกนุ่มๆทานง่ายคีบคำเดียวเข้าอร่อยปากทันทีพร้อมสั่งมาเพิ่มอีกหลายๆจาน กุ้งดองแบบเดิมดูธรรมดาเกินไปต้องสั่งมาเป็น "กุ้งหวานยักษ์ดองซีอิ๊ว" เนื้อหวานกรอบเด้งตัวใหญ่เคี้ยวเต็มคำสะใจสุดๆอยู่ในหมวด Prestige Buffet ส่วนเมนูที่เราเคยชิมแล้วก็คือ "แซลมอนดองซีอิ๊ว" กับ "กุ้งดองซีอิ๊ว" ยังถือว่าอร่อยคงมาตรฐานได้ดีเหมือนเดิมเลยครับผม
ปิดท้ายด้วยของหวานสั่งมาเป็น "ฮันนี่โทสต์ไอศครีมแมคคาดีเมีย" ซึ่งต้องรออย่างน้อย 20 นาทีก่อนสั่งเพราะทางร้านจะนำขนมปังก้อนใหญ่ไปตัด-ผ่าเป็นร่องยัดด้วยเนยสดอบด้วยไฟอุณหภูมิอ่อนๆเป็นเวลานานจนกว่ามันเนยจะซึมซับเข้าไปด้านในเนื้อขนมปังด้านนอกกรุบกรอบฉ่ำเนยสีเหลืองทอง เสิร์ฟพร้อมไอศครีมฮาเก้นดาสรสแมคคาดีเมีย/วิปครีมสดละลายเร็วและเมเปิ้ลไซรัป ตกแต่งด้วยแอลมอนด์สไลด์อบกรอบกับน้ำตาลไอซิ่งอีกนิดราวกับเกล็ดหิมะติดบนจาน ก่อนจะทานให้ก็ราดเมเปิ้ลไซรัปลงบนขนมปังแบบฉ่ำกรุบกรอบหอมเนยสดกับไอศครีมเข้ากันดีสุดๆ จานต่อไปคือ "ซูเฟล่แพนเค้กแมคคาดีเมีย" ที่ต้องรออย่างน้อย 20 นาทีเช่นเดียวกัน เป็นแพนเค้กเนื้อฟูแต่ไม่เด้งดึ๋งแบบร้านดังบนห้างหอมกลิ่นเนยเสิร์ฟพร้อมฮาเก้นดาสแมคคาดีเมีย/วิปครีมสดละลายเร็ว/เมเปิ้ลไซรัปและโรยด้วยน้ำตาลไอซิ่งเหมือนจานก่อนไม่ต่างกันนักครับ ส่วนไอศครีมยี่ห้อ Häagen-Dazs เสิร์ฟ 3 รสชาติก็คือ 1. สตรอเบอรี่ชีสเค้ก 2. แมคคาดีเมีย และ 3. ซอลท์เท็ดคาราเมล ตักมาใส่ถ้วยพร้อมฟินเสิร์ฟเรื่อยๆตลอด 2 ชั่วโมงเต็ม ปกติที่หน้าร้านขายราคาลูกละ 109 บ. แนะนำให้เก็บพื้นที่ในกระเพาะส่วนหนึ่งไว้ลุยทีหลังยิ่งสั่งเยอะก็ยิ่งคุ้มแน่นอนครับ
รอบที่แล้วไม่ได้สาธิตวิธีการทำแพนเค้กจะบอกว่าแป้งเขาฟูนุ่มเพิ่มความหอมมัน-ฉ่ำเนยราดเมเปิ้ลไซรัปได้ด้วยตัวเอง วิธีการทำก็แสนง่ายเพราะมีแผ่นกระดาษบอกขั้นตอนเอาไว้ตรงหน้าเตาเรียบร้อย เพิ่มไอศครีมเย็นๆโรยท็อปปิ้งหรือราดซอสช็อกโกแลตฟองดูว์ลงไปเพิ่มก็แล้วแต่จินตนาการของตัวท่านเอง โมจิรสชาติต่างๆจะหยิบไปกินเลยหรือทานคู่กับไอศครีมน้ำแข็งไสก็ได้ สุดท้ายแก้วน้ำที่ทางร้านให้เป็นแบบกระดาษใช้แล้วทิ้งซึ่งเราสามารถกดน้ำออกไปดื่มนอกร้านได้ต่ออีกด้วย ตอนนี้อิ่มแน่นมากๆหยิบใบเวลาที่น้องพนักงานให้มาไปจ่ายเงินตรงแคชเชียร์ได้เลยครับ
มื้อนี้เรามาทานกัน 3 คนเช่นเคย สั่งอาหารไปจัดหนักกว่า 197 รายการจ่ายไป 5,399.25 รวม Vat. 7% และ Service Charge 10% มีส่วนลดจากบัตรสมาชิกระดับอีก Gold 10% เฉลี่ยแล้วคนละ 1,780 บาท จากราคาเต็มคนละ 2,000 บาท Net. ถ้าเทียบกับยากินิคุร้านอื่นๆในระดับเดียวกันความพรีเมี่ยมอยู่ในระดับค่อนข้างสูงแต่ยังไม่สุด ส่วนเรื่องความหลากหลายของเมนูส่วนตัวว่าเยอะมากที่สุดบรรดาทุกร้านที่เคยทานมาและคงมาตรฐานเดียวกันเหมือนเดิม รับคะแนนอร่อยคุ้มค่าไป 5 ดาวครับ🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : เลขที่ 52 อาคารธนิยะพลาซ่า ชั้น 4 ถนนสีลม แขวงสุริยวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500
เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล)
โทร. 02-235-3375
Facebook : www.facebook.com/TenjoSushiYakiniku
<นอกจากนี้ Tenjo ยังมีอีก 20 สาขา ตรวจสอบสาขาใกล้บ้านที่นี่ : www.tenjosushiyakiniku.com/map/>
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comments