ภายในซอยสุขุมวิท 32 จะมีบ้านหลังสีขาวโบราณขนาดใหญ่ 2 ชั้นอายุมากกว่า 70 ปีพื้นที่โดยรอบถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้สูงปกคลุมให้ความร่มรื่นดูสวยงามสะดุดตา ร้านนี้ มีชื่อว่า "วิเสทสรร" เป็นร้านอาหารไทยโบราณสูตรต้นตำรับที่ตกทอดสืบต่อกันมาคงรสชาติเอาไว้ดั้งเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแม้กาลเวลาจะผ่านไป โดยชื่อเรียกของทางร้านมีความหมายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ก็คือ 1.วิเสทแปลว่า "ผู้ทำกับข้าวในวังหลวง" และ 2.สรรที่แปลว่า "คัดเลือก-คัดสรร" หรือมีอีกความหมายโดยนัยว่า "สร้างสรรค์" ป้ายชื่อร้านใช้เป็นพื้นหลังสีแดงสดถูกเขียนด้วยตัวอักษรลายมือสีทองดูวิจิตรช่วยบ่งบอกถึงความเป็นไทยแท้ได้เป็นอย่างดี วิธีการเดินทางมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็ให้ปักหมุดมาตามแผนที่บนมือถือภายในรั้วมีลานจอดรถขนาดใหญ่กว้างขวาง ถ้าเดินทางมาด้วยบริการขนส่งสาธารณะให้ใช้ BTS ลงสถานีทองหล่อแล้วออกกำลังกายอีกหน่อยโดยตั้งต้นจากปากซอยสุขุมวิท 36 เดินมาเรื่อยๆประมาณ 300 เมตร ก็จะมาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว สถานที่ตั้งร้านถือว่าโดดเด่นและหาง่ายๆมากรับรองว่าไม่หลงทางอย่างแน่นอนครับ
บ้านหลังเก่าอายุมากกว่า 70 ปี ถูกทำให้ร่วมสมัยมากยิ่งขึ้นด้วยการใช้สีขาวทั้งหลังทำให้ดูสะอาดและสบายตา ภายในตกแต่งตามมุมต่างๆให้น่าถ่ายรูปเพื่อเก็บความประทับใจ เริ่มจากเรือนไม้สีขาวขนาดจิ๋วหลังคากระจกใสที่ให้แสงแดดผ่านเข้ามาดูละมุนชวนฝันมากยิ่งขึ้น ส่วนด้านหน้ามีโอ่งน้ำพุเล็กๆเรียงกันเป็นแนวยาวก่อนถึงทางเข้าประตูบ้านหลักกับฉากสีแดงสดประกบด้วยลายกราฟฟิกรูปดอกไม้สีทองดูสวยแปลกตานอกจากนี้ยังมีต้นไม้สูงใหญ่อายุรวมกันกว่าหลายสิบปีล้อมรอบเต็มทั้งพื้นที่ ให้อารมณ์ราวกับได้มาเที่ยวในบ้านสวนใจกลางธรรมชาติทั้งที่ตั้งอยู่ย่านสุขุมวิทใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครสุดวุ่นวาย ช่วงที่เรามาถึงแดดค่อนข้างจะร้อนเข้าไปรับแอร์เย็นๆข้างในกันครับ
ภายในร้านบริเวณชั้น 1 ถูกทาด้วยสีขาวดูสวยงามสะอาดตาแบบเดียวกับด้านนอกบ้านพร้อมหน้าต่างบานใหญ่ที่ช่วยเปิดรับแสงจากธรรมชาติให้ลอดเข้ามาเพิ่มความสว่างสดใสให้ความอบอุ่นดูเป็นร้านอาหารแนวครอบครัวด้วยการใช้หลอดไฟโทนสีส้ม ส่วนเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านเกือบทุกชิ้นได้สั่งทำขึ้นพิเศษจากไม้สักทองทาด้วยน้ำยาเคลือบเงาสีเข้มดีไซน์ย้อนยุคตามแบบที่ทางร้านตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรกโครงสร้างจึงแข็งแรงมั่นคงและทนทานเป็นพิเศษ สิ่งที่ชอบมากสุดก็คือเก้าอี้ไม้สักทองถูกออกแบบเบาะเป็นทรงกลมถูกบุด้วยนวมนุ่มทุกตัวช่วยให้นั่งสบายยาวนานยิ่งขึ้น ส่วนบรรยากาศข้างบนชั้น 2 จะมีการตกแต่งที่สวยงามอย่างอย่างไรนั้นเราเดินขึ้นไปชมบรรยากาศพร้อมกันครับผม
ยังไม่ทันเดินขึ้นบันไดเหยียบถึงบริเวณชั้น 2 สิ่งที่ชวนสะดุดตาให้ถ่ายรูปก่อนก็คือซุ้มประตูทรงโค้งขนาดใหญ่ที่ด้านหลังถูกทำให้เป็นห้องส่วนตัวขนาดเล็กรองรับลูกค้าได้ถึง 10 ถึง 12 คน ผนังบางส่วนถูกทาด้วยสีแดงสดสลับสีขาวแบบเดียวกับป้ายชื่อหน้าร้านพร้อมตัวอักษรสีทองสไตล์ไทยสุดวิจิตรเขียนว่า "วิเสทสรร" ตกแต่งด้วยโคมไฟโบราณห้อยตามจุดต่างๆเพิ่มความหรูหราลงตัวยิ่งขึ้น เลือกโต๊ะที่จะนั่งให้เรียบร้อยแล้วมาเริ่มสั่งอาหารกันเลยครับ
เล่มเมนูของที่ร้านยังใช้โทนสีขาว-สีแดงผสมครีมแบบเดียวกับผนังภายในของบ้านโบราณแห่งนี้ หมวดแรกของเมนูเป็นของว่างสไตล์ไทยโบราณราคาเริ่มต้นที่ 250-650 บาท กุ้งเผา-กุ้งทอดซอสมะขามที่เป็น Signature ของทางร้านมีให้เลือกสั่งตั้งแต่ไซส์ 3 ตัว 1 กิโลกรัมไปจนถึงขนาด 6 ขีดราคาเริ่มต้นที่ 579-1,199 บาทต่อตัว เมนูยำมีให้สั่ง 3 รายการราคาเริ่มต้นที่ 220-250 บาท เมนูประเภทแกงก็มีให้เลือกหลากหลายราคาเริ่มต้นที่ถ้วยละ 200 ไปจนถึง 450 บาท เมนูหมวดน้ำพริกเสิร์ฟพร้อมผักชุดใหญ่มีให้เลือก 4 เมนูราคารายการละ 280 บาท เมนูปลามีทั้งทอด/ผัด/นึ่งเริ่มต้นที่ตัวละ 550-750 บาท เมนูประเภทผัดต่างๆราคาเริ่มต้นที่ 200-280 บาท แกงจืดสำหรับสั่งมาซดร้อนๆแก้เผ็ดราคาเริ่มต้นที่ถ้วยละ 200-220 บาท เมนูปูดำหรือปูป่าชายเลนเอามาผัดซอสต่างๆกับอบวุ้นเส้นราคาขีดละ 280 บาท ส่วนใครขี้เกียจกระเทาะเปลือกปูก็มีเป็นเนื้อล้วนๆให้สั่ง ราคาขีดละ 450 บาท ข้าวสวย-ข้าวผัดต่างๆราคาเริ่มต้นที่จานละ 30 ไปจนถึงจานเปลใหญ่ 380 บาท ขนมหวานก็มีให้สั่ง 4 เมนูราคาเริ่มต้นที่ 95 ไปจนถึงผลไม้ชุดใหญ่ราคา 250 บาท โดยราคาอาหารที่เห็นในเล่มยังไม่รวม Service Charge 10% ส่วนตัวถือว่าค่อนข้างสมเหตุผลกับสถานที่ตั้งร้าน แต่จะได้ปริมาณกับรสชาติที่ดีขนาดไหนเดี๋ยวเรามาพิสูจน์ไปพร้อมกันเลยครับ
จานแรกเป็นเมนู Signature ของทางร้านนั่นก็คือ "กุ้งซอสมะขามไซส์ 3 ตัวโล" ราคาตัวละ 579 บาท เป็นกุ้งแม่น้ำไซส์ใหญ่น้ำหนักประมาณ 300 กว่ากรัม เอามาผ่าครึ่งเฉพาะกลางลำตัวยกเว้นส่วนหัวลงทอดในน้ำมันจนเนื้อสุกแน่นกระชับเคี้ยวสู้ฟัน ราดด้วยซอสรสหวานอมเปรี้ยวหอมกลิ่นมะขามเปียกเพิ่มสัมผัสความกรุบกรอบด้วยหอมเจียวและเผ็ดร้อนพริกแห้งทอดกรอบเข้ากันได้เป็นอย่างดีอีกทั้งมันในหัวยังสามารถเอามาคลุกกับข้าวสวยผสมซอสมะขามได้อีกเป็นจานๆ อร่อยสมกับที่ทางร้านแนะนำให้สั่งเลยครับ ชามต่อไปเป็นเมนูแกงสั่งมาทานกับข้าวสวยก็คือ "หมูรัญจวนกวนใจ" ราคา 200 บาท เป็นน้ำพริกกะปิใส่มะเขือเปราะเอามาแกงใส่พริกขี้หนูเม็ดโดดกับสันคอหมูปิดท้ายด้วยใบโหระพาสดรสชาติเปรี้ยว-เค็มหอมกลิ่นกะปิผสมมะนาวสดซดร้อนๆสดชื่นมาก ข้อควรระวังของชามนี้ก็คือเผ็ดมาก/เปลืองข้าวสวยแต่อร่อยสุดๆเป็นแกงรัญจวนหมูใส่มะเขือเปราะลงไปด้วยร้านแรกที่เคยทานมาเลยครับ
เมนูต่อไปเป็นแกงกะทิ Signature ที่เห็นรีวิวก่อนหน้านี้เขาสั่งกันก็คือ "แกงคั่วใบชะพลูเนื้อปูก้อนยักษ์" ราคา 450 บาท ดูรูปในเล่มเมนูเหมือนให้มานิดเดียวแต่ของจริงเป็นกรรเชียงชิ้นใหญ่ใส่มา 7-8 ก้อนเนื้อหวานแน่น ส่วนน้ำแกงรสชาติเค็มเผ็ดหอมกลิ่นพริกแกงคั่วและใบชะพลูซอยทานคู่กับขนมจีนเส้นสด ขนาดสั่งแบบเผ็ดปกติไปก็ยังรู้สึกว่าเผ็ดมาก (ถ้าใครทานเผ็ดไม่เก่งแนะนำให้บอกน้องพนักงานก่อน) น้ำแกงข้นๆเนื้อปูหวานฉ่ำเข้ากับขนมจีนได้ดีสุดๆที่สำคัญก็คือขอเพิ่มเส้นได้ทางร้านไม่คิดเงินแต่อย่างใดครับ สั่งแต่เมนูแกงเผ็ดๆไป 2 ชามน้องพนักงานก็ช่วยเตือนว่าแม่ครัวที่ร้านมือหนักมากๆเลยแนะนำให้สั่งผัดผักมาทานคู่กันคือ "ใบเหลียงผัดไข่" ราคา 200 บาท รสชาติเค็มอมหวานผัดใส่ไข่นัวๆกับยอดใบเหลียงอ่อนๆฉบับร้านปักษ์ใต้มาเอง เพิ่มความพิเศษไม่เหมือนใครด้วยหอมเจียวและกระเทียมเจียวให้กลิ่นและสัมผัสกรุบกรอบแปลกใหม่ ถ้าอยากทานแบบต้นตำรับบอกทางร้านให้ไม่ใส่ได้นะครับ
ชามต่อมาในเล่มเมนูเขียนว่า "พะโล้หมูสามชั้นทอด" ราคา 290 บาท แต่ที่จริงมันคือพะโล้โบราณ โดยเริ่มจากการเอาหมูสามชั้นชิ้นใหญ่ไปทอดกรอบ หลังจากนั้นเคี้ยวน้ำตาลมะพร้าวในกระทะให้เปลี่ยนสีเป็นคาราเมลก่อนที่จะนำเอาหมูทอด/ไข่ต้ม/เต้าหู้ทอดและสามเกลอตำละเอียดลงไปผัดและเติมน้ำตุ๋นจนนุ่มเข้าเนื้อ โดยชามที่ทางร้านเอามาเสิร์ฟเราวันนี้น้ำขุ่นไปหน่อยเพราะมีไข่แดงผสมลงไปในน้ำซุปแต่รสชาติหวานเค็มอร่อยหมูสามชั้นเปื่อยและไข่ต้มดูดน้ำซุปเข้าไปดีมากใครเป็นคนรักพะโล้แบบผมห้ามพลาดเลยครับ สั่งเมนูต้มผัดไปแล้วมาต่อกันที่ของทอดกันบ้างเริ่มจาก "หมูสามชั้นคั่วพริกเกลือวังหลัง" ราคา 250 บาท เป็นหมูสามชั้นหั่นชิ้นพอดีคำหมักเกลือทอดกรอบให้หนังฟูนิดๆเอาไปคลุกกับเครื่องผัดพริกเกลือทั้งกระเทียมเจียว/หอมเจียว/พริกสดและต้นหอมปรุงรสให้อมหวานตัดเค็มกับตัวหมูทอดเรียงลงใส่จานให้สวยงามพร้อมเสิร์ฟ ส่วนตัวคิดว่าจานนี้เหมาะสำหรับทานเป็นกับแกล้มมากเลยครับ
จานต่อไปเป็นเมนูปลาที่ไม่ค่อยเห็นร้านไหนในกรุงเทพฯเอามาเสิร์ฟก็คือ "ปลาจารเม็ดทอดกระเทียม" ตัวนี้เป็นขนาด 4 ขีด ราคา 750 บาท ตามชื่อเลยคือปลาจารเม็ดตัวใหญ่เนื้อสดแน่นเอาไปทอดในน้ำมันร้อนๆจนกรอบเกือบทั้งตัวโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียวสไลด์ แต่ความเด็ดไม่ได้จบลงแค่นี้เพราะซอสที่เสิร์ฟมาคู่กันชื่อค่อนข้างแปลกนั่นก็คือ "ซอสน้ำกระเทียมดองโบราณ" มีความข้นเหนียวคล้ายกับน้ำราดหน้า เมื่อเอามาประกอบร่างเข้ากับปลาจารเม็ดทอดกระเทียมแล้วมีความคล้ายเมนูราดหน้าปลาทอดแปลกใหม่ดี หรือถ้ารู้สึกว่าไม่ค่อยชอบก็สามารถขอน้ำจิ้มซีฟู้ดได้ฟรีนะครับ จานสุดท้ายเห็นชื่อเมนูค่อนข้างแปลกเลยสั่งมาลองทานนั่นคือ "ข้าวผัดแมวสูตรยายพิกุล" เสิร์ฟมาในจานแปลขนาดใหญ่แบบนี้ราคา 300 บาท เป็นข้าวหอมมะลิสุรินทร์คลุกเนื้อปลาทูทอด/หอมแดง/ใบมะกรูดซอย/ใบชะพลูซอยและหอมเจียว เสิร์ฟพร้อมเครื่องสมุนไพรสดต่างๆมากมายทั้งมะนาวสดหั่นชิ้นติดเปลือก/หอมแดงซอย/พริกขี้หนูสดกับขิงอ่อนหั่นเต๋าวิธีการทานก็คือเอาทุกอย่างลงไปคลุกในชามเดียวกัน รสชาติคล้ายกับข้าวผัดเมี่ยงใส่เนื้อปลาทูทานง่ายรสชาติเค็มอ่อนๆแต่ถ้าอยากให้เข้มข้นขึ้นก็ราดน้ำปลาพริกสดลงไปอีกหน่อยอร่อยเด็ด หากกำลังเบื่อข้าวสวยหรือเมนูข้าวผัดธรรมดาๆแล้วลองสั่งเมนูนี้มาทานดู อร่อยและได้รสชาติ/ประสบการณ์แปลกใหม่ดีครับ
มื้อนี้ผมมาทานข้าวกับแฟน 2 คน สั่งอาหารกว่า 16 เมนู ทั้งหมด 3,585 บ. (รวม Service Charge อีก 10% เรียบร้อยแล้ว) ถ้าเทียบกับวัตถุดิบที่ร้านนำมาใช้/บ้านหลังโบราณอายุกว่า 70 ปีที่ตั้งอยู่ใจกลางสุขุมวิทอันมีเอกลักษณ์และรสชาติอาหารจัดจ้านโดนใจสุดๆ ซึ่งแต่ละเมนูรังสรรค์โดยเชฟฝีมือเยี่ยมผสานกับตำราเมนูไทยโบราณดั้งเดิมที่ร้านได้สืบทอดมาทุกอย่างเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ครบเครื่องทุกๆองค์ประกอบแบบนี้ "วิเสทสรร" สุขุมวิท 32 ก็ได้คะแนนความอร่อยคุ้มไป 5 ดาวเลยครับ 🌟🌟🌟🌟🌟
พิกัด : บ้านเลขที่ 8 ซอยสุขุมวิท 32 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร 10110
เปิดให้บริการทุกวันไม่มีวันหยุดตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น. (อาจมีการปรับเปลี่ยนตามนโยบายของรัฐบาล)
โทร. 063-995-2018
อ่านรีวิวแล้วชอบรบกวนช่วยกด Share ให้เพื่อนๆอ่าน
แล้วตามไปกดถูกใจเพจของเราที่นี่ > https://www.facebook.com/FoodAddictsThai/ <
และอย่าลืมกด See First เพื่อที่จะได้ไม่พลาดรีวิวใหม่ๆของเรานะ 😘😘😘
Comments